ยูโอบี แนะเก็บกองทุน ESG-ETF โอกาสขยายสัดส่วนเพิ่มพอร์ตลงทุนต่างประเทศ

04 มี.ค. 2565 | 12:43 น.

บลจ.ยูโอบีเปิดกลยุทธ์เติบโตยั่งยืน ทั้งรายได้และกำไรดีสม่ำเสมอชู 3ธุรกิจ หนุนสินทรัพย์ภายใต้การบริหารแตะ 2.64แสนล้านบาทสิ้นปี65 แนะอัพเดต-ปรับพอร์ตลงทุนรับเมกะเทรนด์

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2565 บริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งต่อยอดการดำเนินงาน 3เสาหลัก(3 Pillars)  คือ 1.การนำเทคโนโลยี -ดิจิทัลให้เป็นประโยชน์และเกิดประสิทธิภาพทั้งภายในองค์กรและทุกภาคส่วน

 2.การลงทุนแบบยั่งยืน โดยบลจ.ยูโอบี ยังคงแสวงหาโอกาสการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนทางเลือกใหม่ๆ ให้กับนักลงทุน รวมถึงการนำเสนอการลงทุนในธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเพื่อการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG บนพื้นฐานความเชื่อว่า การสร้างสมดุลในการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมและสังคมได้ จะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการสร้างผลกำไรในระยะยาวได้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำของกลุ่มยูโอบีในภูมิภาค  

 

ปัจจุบันบลจ.ยูโอบีมีการนำเสนอกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจ ESG ผ่านกองทุนรวมสำหรับลูกค้ารายย่อย กองทุนส่วนบุคคลสำหรับลูกค้าสถาบัน และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมไปถึงกองทุนรวมที่มีอยู่แล้วและได้มีการปรับกระบวนการลงทุนตามแนวทาง ESG และ

3.กองทุน Exchange Traded Fund หรือ ETFs ซึ่งเป็นธีมเมติกฟันด์ที่ผ่านมาบริษัทได้ทยอยออกกองทุน Thematic ETF เพื่อเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ลูกค้าและเป็นเทรนด์การลงทุนอนาคต

ยูโอบี แนะเก็บกองทุน ESG-ETF โอกาสขยายสัดส่วนเพิ่มพอร์ตลงทุนต่างประเทศ

   “ 3Pillarsเมื่อปี64 เราทำค่อนข้างเยอะทุกPillars ตอบโจทย์ลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุด ทำให้เราเติบโต 5%ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมเมื่อปี64จึงเป็นปีที่ไม่หมูโดยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารหรือAUMเพิ่มขึ้นเป็น 2.43แสนล้านบาท โดยในปีนี้ให้ความสำคัญกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งรายได้และกำไรหรือผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอแม้เราอาจจะไม่เป็นที่ 1ตลอด  แต่ด้วยการส่งต่อคุณภาพสินค้า บริการและการประสานงานทั้งภายในและภายนอกให้เกิดประสิทธิภาพ

 

ต่อข้อถามเป้าหมายการเติบโตAUMปีนี้นั้นคาดว่าจะเติบโต10%และคาดว่าในไม่ช้า บริษัทจะทยอยออกกองทุน ETF เพิ่มเติมจากปีก่อนประมาณ 5-6กองซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังมาแน่ๆ เหมาะกับการลงทุนระยะกลางและระยะยาว

 

ยูโอบี แนะเก็บกองทุน ESG-ETF โอกาสขยายสัดส่วนเพิ่มพอร์ตลงทุนต่างประเทศ

นางสาวรัชดา ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า  แผนธุรกิจปีนี้โฟกัสใน 4เรื่อง คือ 1. เรื่องแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็น Mobile application “UOBAM INVEST” ซึ่งช่วงเจอสภาวะโควิด-19 ลูกค้าบุคคลและสถาบันหันมาทำธุรกรรมผ่านแอปฯทำให้ทั้งAUMและลูกค้าที่สมัครผ่านออนไลน์เพิ่ม 22% 30%ตามลำดับสำหรับปีนี้ยังคงโฟกัสเรื่องนี้ 

 

2.ช่องทางให้บริการ 3. ESGระดับภูมิภาค โดยมุ่งพัฒนาหรือคัดเลือกกองทุนESG ผสมผสานหุ้นไทยกับต่างประเทศเพื่อให้องค์กรใหญ่หรือลูกค้ามีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้น  และ 4.บริการวางแผนเกษียณ(Retirement Solution)เป็นสิ่งที่บริษัทอยากทำเพิ่ม ซึ่งหัวใจของผู้จัดการกองทุนเรามีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง  

 

ดังนั้น ลูกค้าจึงหมายรวมไปถึงตัวแทนหรือเอเยนต์ที่เป็นพันธมิตรของบลจ.ยูโอบีด้วย ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร โบรกเกอร์  บริษัทประกันชีวิตซึ่งที่ผ่านมาเติบโตอย่างต่อเนื่องจากผลิตภัณฑ์ยูนิตลิ้งค์

 

สำหรับสิ้นปีนี้AUMน่าจะอยู่ที่ 2.64แสนล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก 2.43แสนล้านบาทสิ้นปีก่อน โดยมาจากการรักษาระดับการเติบโตใน 3ธุรกิจ ( กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) 

 

ทั้งนี้นอกจากผ่าน 2ช่างทางคือ ธนาคารพาณิชย์กับโบรกเกอร์(บริษัทหลักทรัพย์) แล้ว  ยังเน้นตัวแทนบุคคล และการเติบโตจากช่องทางจำหน่าย เช่น บลน. ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ให้ดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายและให้คำแนะนำการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมของบลจ. ต่างๆ

 

รวมถึงการโฟกัสโปรดักต์ที่มีคุณภาพเช่นการลงทุนแบบยั่งยืน  ควบคู่กับการขยายโอกาสลงทุนในต่างประเทศ  ซึ่งลูกค้าสามารถปิดความเสี่ยงเรื่องค่าเงินและไม่ต้องเสียภาษีหากนำเงินกลับเข้าประเทศ

“ เปิดต้นปีมาก็มีลูกค้ากลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ใหม่เข้ามาแล้ว ซึ่งเราโฟกัสกลุ่มนี้อยู่แล่วนส่วนใหญ่ลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งปีก่อนเพิ่มกองลงทุน ไซซ์ 300-500ล้านบาท/สถาบัน และกองทำสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งสามารถเสนอโปรดักต์คุณภาพรวมถึงการเข้าประมูลพอร์ตรัฐวิสาหกิจด้วย”

  ยูโอบี แนะเก็บกองทุน ESG-ETF โอกาสขยายสัดส่วนเพิ่มพอร์ตลงทุนต่างประเทศ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันธ์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย)กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยในปีนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 1,580 - 1,770 จุด ซึ่งปีนี้รายได้ของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานแนวโน้มปรับตัวเชิงบวก เช่นเดียวกับภาคเกษตรและธุรกิจทีทมีอนาคตยังเป็นกลุ่มการเงิน เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีโอกาสในการลงทุนในธุรกิจอนาคต

          อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองนั้น นักลงทุนควรจะมีการสำรวจพอร์ตการลงทุนของตัวเองเพื่อให้เหมาะกับอายุและเป้าหมายโดยเฉพาะวัยGEN ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการเก็บเงินเพื่อเกษียณอายุสัดส่วนการลงทุนระยะสั้นไม่เปลี่ยนแปลง แต่ควรเลือกเพิ่มการลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือสาธารณูปโภค และอสังหาริมทรัพย์ในตลาดโลก เพราะในระยะ 3-5ปีน่าจะเห็นการลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ สาเหตุจากการเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง

          “ภาพรวมนักลงทุนไทยยังมีโอกาสขยายสัดส่วนการลงทุนไปต่างประเทศ โดยเฉพาะธีม Thematic ESG และ ETF ซึ่งเป็นอีกทางเลือกของนักลงทุน”