บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ต่อมุมมองตลาดหุ้นไทยปี 2565 ว่ายังคงมุมมองแง่บวกและคงเป้าหมายสำหรับ SET Index ล่วงหน้า12 เดือนที่ 1,680 จุดจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การกระตุ้นทางการคลังอย่างต่อเนื่อง และนโยบายของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย เงื่อนไขการเดินทางคาดว่าจะผ่อนคลายในเดือนก.พ. จากนโยบาย “Test & Go” ที่มีการกลับมาใช้อีกครั้ง เนื่องจากจำนวนฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนักและการเสียชีวิตลดลง
"คาดว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ในปี 2565 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% (2565 ที่ 1.7%) และเพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเต็มที่ แม้จะมีฐานสูงในปี 2564 โดยคาดว่าการส่งออกสินค้าปี 2565 จะเติบโตอบ่างต่อเนื่อง 4% ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการจะโต 7%"
อย่างไรก็ตามหุ้นไทยมีความเสี่ยงและความผันผวนมากขึ้น จากสภาพแวดล้อมของตลาดมีความผันผวนมากขึ้นท่าทีของ Fed ที่มีความแข็งกร้าวมากขึ้น ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 5 ครั้งในปี 2565 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่ได้รับแรงหนุนจำกัดด้านอุปทานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัจจัยด้านอุปสงค์ที่มีความแข็งแกร่งอีกด้วย เช่น อัตราการว่างงานต่ำ การเติบโตของจีดีพีที่แข็งแกร่ง และการออมของครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ตลาดโลก รวมทั้ง SET ของไทยคาดว่าจะยังคงผันผวนจนกว่าตลาดจะเริ่มเห็นอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อระยะยาวว่าสูงกว่าหรือต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเป้าหมายของ Fed ที่ 2%
สำหรับปัจจัยในประเทศ หากมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 313-336 บาทต่อวัน ทั้งนี้ในช่วงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำประจำปี 2554 จาก 215 บาทเป็น 300 บาท ต่อวัน กลุ่มพาณิชย์ไทยรายงานการเติบโตยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่เพิ่มขึ้น 8.5% และ 4% ในปี 2555-2556 ขณะที่ SSSG เฉลี่ยอ่อนค่าลงในช่วงปี 2560- 2561 ที่การปรับค่าจ้างที่ -1%/+2% หากขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในครั้งนี้ มุมมองของเราโน้มเอียงไปทางปฏิกิริยาด้านลบของตลาด ซึ่งจะส่งผลกระทบทสำคัญต่อธุรกิจสิ่งทอ โรงแรม อาหารและเครื่องดื่ม ผู้รับเหมา และภาคการค้า
บล.กสิกรไทย ระบุอีกว่า ได้ตัด BGRIM SPRC SCB ADVANC AWC และ KCE ออกการเป็นหุ้นเด่นและแทนที่ด้วย KKP DTAC BAM SABINA TOP BH และ CENTEL
โดยหุ้นธีมการลงทุน 5 รูปแบบ มีดังนี้