อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ "แข็งค่า" ที่ระดับ 32.94 บาท/ดอลลาร์

20 ม.ค. 2565 | 00:49 น.

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท"แข็งค่า"โฟลว์ขายทำกำไรทองคำหรือปัจจัยพื้นฐานหนุน -ยังมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways ใกล้ระดับ 32.90-33.00 บาท/ดอลลาร์

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  32.94 บาทต่อดอลลาร์"แข็งค่า"ขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.04 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจากวันก่อนหน้าพอสมควร หนุนโดยโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ ทว่า หากไม่มีฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติมาสนับสนุนหรือปัจจัยพื้นฐานฟื้นตัวแข็งแกร่ง เงินบาทก็อาจจะไม่ได้แข็งค่าไปมากและยังมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways ใกล้ระดับ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินดอลลาร์ก็อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย 

นอกจากนี้ ในภาวะตลาดการเงินผันผวน นักลงทุนต่างชาติก็อาจทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี เงินบาทยังมีแรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่จากโฟลว์ขายทำกำไรราคาทองคำ หากราคาทองคำสามารถทรงตัวที่ระดับ 1,830-1,840 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

ทั้งนี้ เรามองว่า แนวต้านสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในโซน 33.20-33.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ที่ระดับดังกล่าว ส่วนแนวรับสำคัญจะอยู่ในช่วง 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจมีแรงซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าช่วยพยุงเงินบาทไม่ให้แข็งค่าไปมากได้   

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.85-33.05 บาท/ดอลลาร์

ตลาดการเงินโดยรวมยังคงผันผวนและอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวจากความกังวลเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากกว่าคาด ส่งผลให้ หุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่พยายามรีบาวด์นั้น ยังคงเผชิญแรงขายต่อเนื่อง กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดตลาด -1.15% และเข้าสู่โซนปรับฐาน (Correction) หลังดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดมากกว่า -10% ส่วนดัชนี S&P500 ก็ปรับตัวลดลงกว่า -0.97% 

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป สามารถรีบาวด์ขึ้นมาราว +0.25% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นในธีม Reopening อาทิ Louis Vuitton +3.7%, Inditex +2.7%, Kering +2.0% จากความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หากการระบาดโอมิครอนในยุโรปเริ่มสงบลงได้ 

ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย แต่ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าเฟดจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อนั้น ยังคงหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทรงตัวที่ระดับ 1.86% ส่วนบอนด์ยีลด์ในฝั่งยุโรป โดยเฉพาะ บอนด์ยีลด์ 10 ปี อังกฤษ ปรับตัวขึ้นต่อ 4bps แตะระดับ 1.25% สูงที่สุดในรอบ 3 ปี หลังจากเงินเฟ้อทั่วไปล่าสุดของอังกฤษพุ่งสูงขึ้นกว่าคาด ทำให้ตลาดมองว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจขึ้นดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยเงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน แต่ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็ไม่ได้แข็งค่าไปมาก เนื่องจากสกุลเงินหลักอื่นๆ ก็เริ่มทยอยแข็งค่าขึ้นได้ โดยเฉพาะเงินยูโรและเงินปอนด์อังกฤษ ตามความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจและแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของ BOE ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) แกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 95.51 จุด 

อนึ่ง ในช่วงที่เงินดอลลาร์ยังเคลื่อนไหว sideways ความผันผวนในตลาดการเงินที่สูงขึ้นได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าถือทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำ ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,840 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ซึ่งเรามองว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำแตะแนวต้านสำคัญดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนที่จะช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้

สำหรับวันนี้ ตลาดประเมินว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะเพิ่มโอกาสการผ่อนคลายนโยบายการเงินหรือการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากทางการจีน ซึ่งตลาดมองว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะคงอัตราดอกเบี้ยลูกหนี้ชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี ไว้ที่ระดับ 3.80% (หลังจากปรับลดลง 5bps ในเดือนธันวาคม) ส่วน LPR ประเภท 5 ปี ยังคงไว้ที่ 4.65% ตามเดิม นอกจากนี้ ตลาดยังมองว่า ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) รวมถึง ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ต่างก็มีความจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% และ 3.50% ตามลำดับไว้ก่อน จนกว่าเศรษฐกิจจะส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ทั้ง BNM และ BI อาจมองว่าเงินเฟ้อยังไม่ใช่ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขด้วยการทยอยขึ้นดอกเบี้ยแบบธนาคารกลางอื่นๆ 

ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแข็งค่าผ่านแนว 33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ อีกครั้งในช่วงเช้าวันนี้ ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนที่ 32.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาเคลื่อนไหวที่ระดับประมาณ 32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.03 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นตาม sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ที่ขาดแรงหนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม ประกอบกับบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ย่อตัวกลับลงมาบางส่วน เพราะตลาดน่าจะปรับตัวรับการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ไปมากแล้ว และกลับมารอติดตามสัญญาณนโยบายการเงินจากที่ประชุมเฟด 25-26 ม.ค. นี้อีกครั้ง

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ คาดไว้ที่ 32.80-33.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดขายบ้านมือสอง จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และผลสำนวนแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย