ดาวโจนส์ปิดบวก 196 จุด คลายกังวลผลกระทบโอมิครอน

23 ธ.ค. 2564 | 23:48 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวาน (23 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดทำนิวไฮ ได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลไวรัสโควิด-19 โอมิครอน หลังผลการวิจัยของหลายสถาบัน บ่งชี้ว่าความเสี่ยงมีน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก  ปิดบวกเมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน หลังผลการวิจัยของหลายสถาบันบ่งชี้ว่าความเสี่ยงของไวรัสโอมิครอนมีน้อยกว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยรายงานดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มโรงแรม

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,950.56 จุด เพิ่มขึ้น 196.67 จุด หรือ +0.55%  ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,725.79 จุด เพิ่มขึ้น 29.23 จุด หรือ +0.62% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,653.37 จุด เพิ่มขึ้น 131.48 จุด หรือ +0.85%


 

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ ขานรับผลการวิจัยของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน,มหาวิทยาลัยเอดินบะระแห่งสกอตแลนด์ และสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติของแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น มีน้อยกว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา นอกจากนี้ ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโอมิครอนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรครุนแรงน้อยกว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดลตา

 

ทางด้านบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเปิดเผยผลการวิจัยล่าสุดระบุว่า วัคซีนเข็มบูสเตอร์ของบริษัทมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน นอกจากนี้ ผลการวิจัยในห้องแล็บยังบ่งชี้ว่า ยาเอวูเชลด์ (Evusheld) ซึ่งเป็นยาแอนติบอดีแบบผสม (Antibody Cocktail) ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสโอมิครอนได้
 

ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ของบริษัทเมอร์ค เป็นยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อวานนี้ ซึ่งนับเป็นยาตัวที่สองที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยโควิดในสหรัฐ หลังจากที่ FDA เพิ่งอนุมัติยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ของบริษัทไฟเซอร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
         

 

ความคืบหน้าดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจเช่นหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มโรงแรม โดยหุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน พุ่งขึ้น 1.8% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เพิ่มขึ้น 0.67% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ บวก 0.43% หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล พุ่งขึ้น 1.61% หุ้นลาสเวกัส แซนด์ส ทะยานขึ้น 4.23% หุ้นวินน์ รีสอร์ทส์ พุ่งขึ้น 3.51%
         

 

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นขานรับความหวังเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจเช่นกัน โดยหุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 1.25% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) บวก 1.02% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 2.01% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา บวก 0.35% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ เพิ่มขึ้น 0.71% หุ้นเจพีมอร์แกน บวก 0.36%
         

ขณะที่ทางการสหรัฐเปิดเผย  ข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการเมื่อคืนนี้ รวมถึงตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกทรงตัวที่ระดับ 205,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 2.5% ในเดือนพ.ย. หลังจากกระเตื้องขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนต.ค.
         

ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และหากเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานดีดตัวขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี

 

ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 24 ธ.ค. เนื่องในเทศกาลคริสต์มาส