FETCO คาดหุ้นไทยปี 65 ขาขึ้น แตะ 1,800 จุด

07 ธ.ค. 2564 | 09:37 น.

FETCO คาดหุ้นไทยปี 65 ยังเป็นขาขึ้น มีโอกาสแตะ 1,800 จุด ด้านโฟล์วต่างชาติอาจไหลเข้าเกิน 100,000 ล้านบาท เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลง 19.9% และกนง.ยังคงอัตราดอกเบี้ย 0.5%

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2565 คาดยังเป็นขาขึ้น ดัชนีมีโอกาสแตะระดับ 1,800 จุด ส่วนการขยายตัวของเศรษฐกิจ(จีดีพี) ไทย เติบโตประมาณ 4% จากภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีจากฐานที่ต่ำในปีนี้ และภาคการท่องเที่ยวที่จะกลับมาเติบโต หากนักท่องเที่ยวกลับมาเกิน 10 ล้านคน ทั้งนี้ ประเมินบนพื้นฐานหากไทยยังสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ และการฉีดวัคซีนเดินหน้าได้ต่อเนื่อง

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสนับสนุนจากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 2% คาดว่าจะทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ในระดับต่ำต่อไป ด้านกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย คาดว่าปี 2565 จะเติบโตที่12% ส่วนกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ มองว่าอาจจะไหลเข้าไทยเดือนละ 10,000 ล้านบาท หรือทั้งปีเกิน 100,000 ล้านบาท

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 135.16 ปรับตัวลดลง 19.9% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” โดยนักลงทุนคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่วนปัจจัยซึ่งฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิเ-19 สายพันธุ์ใหม่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการไหลออกของเงินทุน 

 

ขณะที่ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหนุนจากการเปิดประเทศ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน รวมถึงผลประกอบการของบจ.ในไตรมาส 3 ที่ประกาศออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ สัปดาห์สุดท้ายของเดือนปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศจากความกังวลต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่พบในแอฟริกาใต้ซึ่งกำลังระบาดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หลายประเทศกลับมาใช้นโยบายปิดประเทศและจำกัดการเดินทาง นอกจากนี้ การปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยในการคำนวณดัชนี MSCI ส่งผลให้ในเดือนพฤศจิกายน นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิในตลาดทุนไทยกว่า 10,182 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การกลับมาระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ในยุโรป ความกังวลต่อการระบาดและกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วของสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะช่วยควบคุมการระบาด และหลายประเทศเริ่มประกาศการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศอีกครั้ง รวมถึงปัจจัยด้านแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางในหลายประเทศ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ แผนการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศให้อยู่ในวงจำกัดและ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ จากภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากภาคอุปสงค์ในประเทศ

 

 

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า คาดว่าการประชุม กนง. ในเดือนธันวาคมนี้ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงหลายด้าน รวมทั้งเศรษฐกิจยังไม่กลับมาโตในระดับเดียวกับในช่วงก่อนโควิด นอกจากนี้ยังไม่มีปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูงเหมือนต่างประเทศ จึงไม่มีความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามต้องติดตามความเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน”