หุ้นไทยภาคเช้าเปิดบวก ไม่หวั่นพบ โอไมครอน คนแรกในประเทศ

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า หุ้นไทยเปิดซื้อขายช่วงเช้าวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ณ เวลา 10.56 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,597.50 จุด เพิ่มขึ้น 9.31 จุด หรือ 0.59% ถึงแม้จะพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด -19 สายพันธุ์โอไมครอนในประเทศไทยเป็นรายแรก โดยเป็นชายชาวอเมริกัน เดินทางมาจากสเปน และเข้าสู่ระบบไม่กักตัว (Test and go) ก็ตาม รวมถึงปรับขึ้นตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคจากราคาน้ํามันดิบโลกที่ดีดตัวขึ้น และรายงานในแอฟริกาใต้ระบุว่าผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนไม่มีอาการรุนแรง

สำหรับในช่วงที่มีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด - 19 สายพันธุ์โอไมครอนในต่างประเทศ ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 25 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2564 ลดลง 61.63 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 3.73% โดยในเดือนพฤศจิกายน 2564 ดัชนีหุ้นไทยพลิกกลับมาปิดลบ 54.74 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 3.37% จากเดือนตุลาคมปิดบวก 17.75 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 1.11% และเป็นเดือนที่ลดลงมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากเดือนกรกฎาคม ที่ลดลง 65.87 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 4.15% ส่วน 11 เดือน ปี 2564 ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น119.34 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 8.23% จากปี 2563 ลดลง 130.49 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 8.26%

ขณะที่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) วันที่ 25 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2564 ลดลง 721,196.53 ล้านบาท ส่วนในเดือนพฤศจิกายน ลดลง 591,864.73 ล้านบาท และ 11 เดือน ปี 2564 เพิ่มขึ้น2,302,151.27 ล้านบาท ด้านมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในเดือนพฤศจิกายน กลับมาขายสุทธิที่ 10,981.54 ล้านบาท จากที่ซื้อสุทธิต่อเนื่อง 3 เดือน โดย 11 เดือน ปี 2564 ขายสุทธิรวม71,800.72 ล้านบาท เป็นการขายสุทธิน้อยกว่าปี 2563 ที่ 264,385.79 ล้านบาท ส่วนปี 2562 ขายสุทธิ45,244.85 ล้านบาท และตั้งแต่ปี 2560 – 2564 ขายสุทธิรวม 694,645.59 ล้านบาท

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ 1,620 จุด เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลชัดเจนถึงความรุนแรงของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน แต่หากมีความรุนแรง กรณีเลวร้ายที่สุดคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ 1,500-1,530 จุด และดัชนีจะไม่หลุด 1,500 จุดอย่างแน่นอน ด้านปี 2565 ดัชนีเป้าหมายอยู่ที่ 1,700 จุด ส่วนกระแสเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติ คาดว่าในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี ยังคงมีทิศทางไหลออก เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลและวันหยุดยาวของนักลงทุนต่างชาติ