ไทยยูเนี่ยน โชว์ยอดขาย Q3 พุ่ง 3.5 หมื่นล้าน กำไรสุทธิกว่า 1.9 พันล้าน

08 พ.ย. 2564 | 06:23 น.

ไทยยูเนี่ยนชี้ยอดขายไตรมาส 3 เติบโตต่อเนื่อง ยอดพุ่ง 3.5 หมื่นล้าน กำไรสุทธิ 1,937 ล้าน ชูกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย หลังสถานการณ์โควิดของโลกเริ่มคลี่คลาย

 

รายงานข่าวจากบริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เผยถึงยอดขายของบริษัทในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 (ก.ค.-ก.ย.) อยู่ที่ 35,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มีกำไรขั้นต้นเติบโตอยู่ที่ระดับ 1% อยู่ที่ 6,391 ล้านบาท  กำไรสุทธิ 1,937 ล้านบาท ลดลง 5.8%

 

สำหรับภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญของธุรกิจไทยยูเนี่ยน สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย มีการผ่อนปรนจากการล็อคดาวน์และข้อจำกัดต่าง ๆ ผู้บริโภคจึงจับจ่ายสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องน้อยลง ส่งผลให้ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของไทยยูเนี่ยนมียอดขาย อยู่ที่ 14,954 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

ไทยยูเนี่ยน โชว์ยอดขาย Q3  พุ่ง 3.5 หมื่นล้าน กำไรสุทธิกว่า 1.9 พันล้าน

 

อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกที่เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับการที่ร้านอาหารต่าง ๆ เริ่มกลับมาเปิดให้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานั้น  ทำให้ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเติบโตขึ้น 11% อยู่ที่ 14,843 ล้านบาท  ในขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ ยังคงมียอดขายที่แข็งแกร่ง เติบโต 11.4% อยู่ที่ 5,742 ล้านบาท โดยผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2564 ถือว่ามีผลงานที่ดีมากเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยในปี 2562 ในไตรมาส 3 มียอดขายอยู่ที่ 31,838 ล้านบาท และกำไรขั้นต้น 5,077 ล้านบาท

 

ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2564 (ม.ค.-ก.ย.) มียอดขายอยู่ที่ 102,547 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%

 

ไทยยูเนี่ยน โชว์ยอดขาย Q3  พุ่ง 3.5 หมื่นล้าน กำไรสุทธิกว่า 1.9 พันล้าน

 

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 โดยธุรกิจหลักของบริษัทสามารถทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอ  ผู้บริโภคได้ให้ความเชื่อมั่นในสินค้าของบริษัทที่เน้นสุขภาพและโภชนาการในช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากโควิด-19  ทั้งนี้แม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลง แบรนด์และสินค้าของไทยยูเนี่ยนยังได้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง  และยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น และสอดคล้องไปกับเป้าหมายของบริษัทในการที่จะดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้อุดมสมบูรณ์ต่อไป 

 

ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง  ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ 10% เป็นมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ในบริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์บีเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร ทั้งวัตถุแต่งรส สี และสารปรุงแต่งอาหารหลากหลายชนิด อาร์บีเอฟมีความเชี่ยวชาญในนวัตกรรมผลิตส่วนผสมในอาหารต่าง ๆ เช่น วัตถุแต่งกลิ่นธรรมชาติ หรือสารสกัดจากกัญชง จะช่วยเสริมทั้งในส่วนของสินค้าหลักและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของไทยยูเนี่ยน รวมไปถึงสินค้าโปรตีนทางเลือกและอาหารสัตว์เลี้ยง

 

ธีรพงศ์  จันศิริ

 

ในเดือนเดียวกัน ไทยยูเนี่ยนยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนคุณภาพสูง เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และความร่วมมือนี้จะมีส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของไทยยูเนี่ยนในการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิลและย่อยสลายได้ ทั้งหมด 100% สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทภายในปี 2568

 

ในไตรมาสที่ 3 ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทในเครือ เป็นบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

 

“ไทยยูเนี่ยนยังคงดูแลการเงินของเราอย่างต่อเนื่องและตอบรับนวัตกรรมทางการเงิน ด้วยกลยุทธ์ Blue Finance  เราได้ตั้งเป้าในการบริหารจัดการการเงินของบริษัทให้เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้ถึง 50% ภายในปี 2565” นายธีรพงศ์กล่าว