ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จี้รัฐเร่งทำงบสมดุลใน 5 ปี

21 ก.ย. 2564 | 11:13 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้วิกฤติโควิด-19 ดันหนี้สาธารณะไทยพุ่งเกือบ 20% ของ GDP การขยายเพดานหนี้เป็น 70% ไม่กระทบเสถียรภาพการคลังระยะสั้น แต่ 3-5 ปี ต้องเร่งลดการขาดดุลจนเข้าสู่ภาวะสมดุล พร้อมหาฐานภาษีใหม่ๆ เข้ามาเสริมรายได้รัฐ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดจากสถานการณ์โควิด-19 คาดว่า จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะไทยเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 20% ของ GDP ณ สิ้นปี 2564 เทียบกับก่อนวิกฤติ ที่ระดับหนี้สาธารณะอยู่ที่ 41.7% ของ GDP จากการที่ภาครัฐได้มีการใช้จ่ายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านทางมาตรการทางการคลัง

 

ทั้งผ่านแหล่งเงินงบประมาณประจำปี 2563-2564 และพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท และพ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท รวมถึงการกู้เงินขาดดุลงบประมาณที่มีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเม็ดเงินกู้ต่างๆ เหล่านี้ ประกอบกับฐาน GDP ไทยที่หดตัวลึก คาดว่า จะส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะของไทยแตะระดับ 60% ต่อ GDP ในปี 2564 นี้เป็นอย่างเร็ว

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนนำมาสู่การขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% ต่อ GDP เป็น 70% ต่อ GDP จะไม่กระทบเสถียรภาพทางการคลังในระยะสั้น โดยรัฐบาลยังมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ครบกำหนดได้ เนื่องจากโครงสร้างหนี้สาธารณะของไทยส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนในประเทศและเป็นหนี้ระยะยาว

ณ เดือน ก.ค. 2564 สัดส่วนหนี้ในประเทศอยู่ที่ 98.2% ของหนี้สาธารณะรวม ทำให้สัดส่วนหนี้ต่างประเทศในหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ดังนั้น ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอก gเช่น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และอัตราแลกเปลี่ยน จึงอาจมีผลกระทบไม่มากนัก

 

นอกจากนี้ โครงสร้างหนี้สาธารณะของไทยราว 94%  เป็นหนี้ระยะยาว ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดการ roll over หนี้ที่ครบกำหนดไม่ทันมีอยู่จำกัด ขณะที่อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก เอื้อให้ต้นทุนของภาระหนี้ (debt service burden) ในกรอบเวลาระยะสั้นนั้นยังอยู่ในระดับต่ำ

 

อย่างไรก็ดี จุดสนใจ อยู่ที่การบริหารจัดการการคลังในระยะกลางถึงยาว ที่จำเป็นต้องมีแผนการจัดหารายได้ภาครัฐเพิ่มเติม เพื่อลดการขาดดุลทางการคลังในระยะข้างหน้า ขณะที่การใช้งบประมาณต้องก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

ในระยะสั้น หากระดับหนี้สาธารณะจะสูงเกินกรอบความยั่งยืนทางการคลังจนต้องมีการขยับเพดานก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ว่า เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินภาครัฐมาดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นการกู้เงินมาใช้โดยไม่มีความจำเป็น

แต่ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ภาครัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นให้สาธารณชนโดยเฉพาะผู้ที่ถือพันธบัตรรัฐบาลเชื่อมั่นว่า จะสามารถบริหารหนี้สาธารณะให้กลับมายั่งยืน นั่นหมายถึง ขนาดการขาดดุลการคลังต้องทยอยลดลงจนเข้าสู่สมดุลในที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางรายจ่ายงบประมาณที่ปรับลดได้อย่างจำกัด เนื่องจากในแต่ละปีรายจ่ายงบประมาณที่ต้องชำระตามกฎหมาย อาทิ เงินเดือนและค่าจ้าง การใช้สินค้าและบริการ รวมถึงรายจ่ายดอกเบี้ยที่รวมแล้วมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี และรายจ่ายดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี

 

ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ความสามารถในการจัดหารายได้เพิ่มเติมของภาครัฐ โดยเฉพาะรายได้จากภาษีที่อาจจะต้องหาฐานภาษีใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มรายได้จัดเก็บเพื่อให้เพียงพอต่อการลดการขนาดการขาดดุลการคลัง อาทิ ภาษีจากฐานสินทรัพย์ เป็นต้น

 

“ระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น จะมีความเสี่ยงมากหรือน้อยยังอยู่ที่ความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งท้ายที่สุดจะขึ้นอยู่กับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ดีในระยะข้างหน้า ระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอาจไม่น่ากังวลเท่ากับเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวหรือเติบโตในอัตราที่ต่ำ ดังนั้น บทสรุปสุดท้าย จึงอยู่ที่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต”ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ