บลจ.เอไอเอ ปักธงเบอร์หนึ่ง ยูนิต ลิงค์

13 ก.ย. 2564 | 11:15 น.

บลจ.เอไอเอ เดินหน้า ผลักดันธุรกิจประกันชีวิตสู่ New Era ของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน หรือ ยูนิต ลิงค์ ตอบโจทย์รอบด้านทั้งเรื่องการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการลงทุน

นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยว่า ครบรอบ 1 ปี ในการเปิดตัวบลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) ถือว่า ประสบความสำเร็จในการให้บริการด้านการลงทุน และนำเสนอผลิตภัณฑ์ ทั้งกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล โดยปัจจุบัน บริษัทครองส่วนแบ่งในตลาดกองทุนส่วนบุคคล ที่ 39.71% ซึ่งเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรม

 

ส่วนของกองทุนรวมปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 31,485 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่ดีมาก แม้ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) รวมประมาณ  853,000 ล้านบาท  มีขนาดใหญ่ติดอันดับใน 5 อันดับแรกของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในประเทศไทย

นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด

ด้วยปรัชญาการลงทุนของ บลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) ที่ต้องการตอบโจทย์ด้านการลงทุนให้กับ ผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย ง่าย และมีประสิทธิภาพ  จึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการการลงทุนที่มีความยั่งยืนและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับลูกค้าประกันยูนิต ลิงค์ ของเอไอเอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าสามารถไปให้ถึงเป้าหมายระยะยาวที่ตั้งเอาไว้

สำหรับมุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลังของปี 2564 เห็นได้ว่า เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้ว มีการฟื้นตัวต่อเนื่องและปรับตัวเข้าสู่การเติบโตเต็มศักยภาพ  ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ ส่วนใหญ่ยังเผชิญกับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19  ความแตกต่างนี้จะนำไปสู่การดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกัน

 

ประเทศที่พัฒนาแล้ว อาจมีการพิจารณาปรับลดมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การปรับลดปริมาณการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนในตลาดคาดว่าจะเริ่มปรับขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2566 ในขณะที่ประเทศตลาดเกิดใหม่ยังคงพึ่งพานโยบายของภาครัฐในการช่วยพยุงเศรษฐกิจ พลวัตนี้จะนำมาซึ่งความผันผวนในตลาด

 

ในระยะสั้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำจากแรงกดดันด้านปริมาณการออกจำหน่ายพันธบัตรใหม่ที่ลดลง ขณะที่สภาพคล่องในตลาดเงินยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มปรับลดปริมาณการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับการปรับเพิ่มเงินคงคลัง จะนำไปสู่การปรับขึ้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร สะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัว

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลง แต่บริษัทจดทะเบียนยังคงเดินหน้าประกาศผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P500 เกินกว่า 80% ยังคงรายงานผลการดำเนินงานได้ดีกว่าที่ตลาดคาด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการทำธุรกิจสนับสนุนการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจและทำให้การลงทุนในหุ้นมีแต้มต่อ เมื่อพิจารณาถึงส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในหุ้นเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ยังคงปรับตัวสูงขึ้น

 

ดังนั้น เรายังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในหุ้นมากกว่าตราสารหนี้โดยเฉพาะหุ้นในตลาดที่พัฒนาแล้ว นำโดยหุ้นจดทะเบียนในสหรัฐฯและยุโรป เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินที่สูงจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้หุ้นมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตราสารหนี้ต่อไป

 

อย่างไรก็ดี เรายังคงต้องจับตามองความเสี่ยงด้านการควบคุมการระบาดของไวรัส การกลายพันธ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจเกิดขึ้นได้ การเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนความไม่แน่นอนเรื่องจังหวะเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มถอนมาตรการสนับสนุนทางการเงิน โดยเชื่อว่า ความคล่องตัวในการปรับสัดส่วนการลงทุนและการลงทุนในหุ้นวัฐจักร (ซึ่งโดยมากมีการเติบโตที่สม่ำเสมอและราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่แพง) จะสร้างความสมดุลย์ให้พอร์ตการลงทุนในช่วงภาวะที่มีความผันผวนสูงได้

 

ส่วนมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น หลังจากที่เริ่มมีการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันลดลง รวมถึงผู้ได้รับวัคซีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ทำให้ความคาดหวังในการกลับมาเดินหน้าเศรษฐกิจของประเทศ มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น

 

อีกทั้งจากที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวสนับสนุนให้กลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ ของไทย โดยเฉพาะภาคการผลิตเริ่มกลับมาดีขึ้น อาทิ พลังงาน สินค้าพื้นฐาน และการเงินของไทย  อย่างไรก็ตาม ภาคการบริการที่รวมถึงการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศยังเป็นที่น่ากังวล แต่โดยรวมตลาดการลงทุนในประเทศไทยเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น

 

นายพีร พนิตพล ผู้อำนวยการฝ่ายยูนิต ลิงค์ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า  วิกฤตโควิด-19 นี้ ทุกอุตสาหกรรมล้วนได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ซึ่งในอุตสาหกรรมประกันชีวิตก็เช่นกัน จากรายงานของสมาคมประกันชีวิตไทยพบว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมประกันชีวิตในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (FYP) มี อัตราการเติบโตลดลง 5%  แต่ผลิตภัณฑ์ประเภทประกันชีวิตควบการลงทุน หรือยูนิต ลิงค์ ยังคงเติบโตได้ดีสวนทางกับอุตสาหกรรมถึง 137% จากปีที่ผ่านมา

นายพีร พนิตพล ผู้อำนวยการฝ่ายยูนิต ลิงค์ เอไอเอ ประเทศไทย

สาเหตุเพราะผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุนสามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านความคุ้มครอง ค่าเบี้ยประกันภัย และระยะเวลาการจ่ายเบี้ยประกันภัยที่ลูกค้าออกแบบเองได้ โดยเราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ากว่า 1.9 แสนกรมธรรม์ ทำให้ เอไอเอ ประเทศไทย ครองอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมยูนิต ลิงค์ ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 6 ปี แต่เราก็ไม่หยุดที่จะมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด

 

ล่าสุด เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าในผลิตภัณฑ์ประกันในกลุ่มเด็กที่ดี ตอบโจทย์ และครบวงจรที่สุด ด้วยการเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ ‘AIA Health Happy – UDR’ ซึ่งเป็นสัญญาเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต AIA Issara Plus (Unit Linked) โดยเป็นการผสานระหว่างความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพให้ครอบคลุม 360 องศา เพื่อส่งมอบความอุ่นใจแก่ผู้ปกครอง โดดเด่นด้วยความคุ้มครองแบบ ‘เหมา เบิ้ล คุ้ม’ ไม่จำกัดวงเงินต่อการเข้ารักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง

 

 

ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน ‘AIA Infinite Gift Prestige’ (Unit Linked) ที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการในการส่งมอบความมั่นคงและมั่งคั่งแทนความรักจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านการวางรากฐานเตรียมความพร้อมในทุกด้านตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบุตรหลานจะสามารถเดินตามความฝันในวันที่เติบโต และมีความพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ในอนาคต โดยการวางแผนทางการเงินระยะยาว ผ่านประกันควบการลงทุน