หลักทรัพย์บัวหลวงชี้ ครึ่งปีหลัง ตลาดหุ้นสหรัฐน่าลงทุน

30 ส.ค. 2564 | 12:55 น.

หลักทรัพย์บัวหลวง ชี้ภาพรวมการลงทุนต่างประเทศครึ่งหลังปี 2564 มอง “ตลาดหุ้นสหรัฐ” น่าลงทุน หนุนด้วยตัวเลขจีดีพีที่ขยายตัวแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น แนะลงทุนระยะยาว ด้วย “ธีม DEAL” พร้อมหาจังหวะสะสม “หุ้นฮ่องกง” หลังปรับฐานลงมาอยู่ในจุดน่าสนใจ

นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บริษัทหลักทรัพย์  บัวหลวง จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า  ภาพรวมการลงทุนต่างประเทศในช่วงครึ่งหลังปี 2564 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีขนาดใหญ่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาด 50.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลข ณ วันที่ 20 ส.ค. 2564) ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยให้น้ำหนักการลงทุน 40%

นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บริษัทหลักทรัพย์  บัวหลวง จำกัด(มหาชน)

แม้ว่าปัจจุบันค่า P/E Ratio จะอยู่ระดับ 22 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา ที่อยู่ระดับ 19.5 เท่า เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจมีทิศทางเติบโตแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ เห็นได้จากตัวเลขไตรมาส  2 ปี 2564 ที่เติบโต 6.5% กลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด-19 สอดคล้องกับ Bloomberg Consensus ที่คาดการณ์ว่า  ปี 2564 จีดีพีสหรัฐฯ อาจขยายตัวประมาณ 6.5%

 

ทั้งนี้เป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการทางการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปก่อสร้างถนน, ท่าเรือ, ท่าอากาศยาน และการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า  รวมถึงการมอบเงินเยียวยาโควิด-19 ให้กับคนอเมริกัน

 

ล่าสุด “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้ทางการแต่ละรัฐมอบเงินให้กับประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 คนละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,300 บาท หวังกระตุ้นให้คนออกมาฉีดวัคซีนมากขึ้น หลังโควิด-19 สายพันธุ์เดลตากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว

“ช่วงนี้อาจเห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัวในลักษณะ Sideways โดยระหว่างทางอาจมีพักฐานได้ราว 5-10%   ก่อนปรับตัวขึ้นต่อ หลังผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) อายุ 10 ปี อยู่ระดับต่ำ 1.2-1.3% บวกกับกำไรบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 ที่เติบโต 40% และประชากรในสหรัฐฯ ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส มากกว่า 50%”นายรัฐศรัณย์กล่าว

 

อย่างไรก็ดี ช่วงนี้ต้องจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ว่า  Fed จะยังส่งสัญญาณลด QE ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า รวมถึงทิศทางการขึ้นดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ดี แม้อาจมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในบางรัฐ

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แนะนำลงทุนระยะยาว ด้วย “ธีม DEAL” ซึ่งเป็นธีมใหญ่ของโลก ประกอบด้วย

 

1.Digitalization เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูล (Data), เทคโนโลยี และการชำระเงินผ่านออนไลน์ โดยหุ้นที่อาจได้ประโยชน์ เช่น หุ้น Visa Inc. (V) บริษัทผู้ให้บริการชำระเงินระดับโลก และหุ้น S&P Global Inc. (SPGI) ผู้ให้บริการข้อมูลทางด้านการเงิน รวมถึงการจัดอันดับเครดิต

 

2.Environmental Protection เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเป็นนโยบายหลักของ “โจ ไบเดน” เช่น กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

 

3.Aging Society ปัจจุบันสังคมผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นมาก ฉะนั้นเราจะเริ่มเห็นหลายประเทศมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น เพื่อรองรับคนกลุ่มดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในระบบสมาร์ทโฮม หรือระบบสมาร์ทซิตี้ เป็นต้น

 

4.Low interest ในยุคดอกเบี้ยต่ำ ตลาดหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในระยะยาว เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้

 

ส่วนมุมมองการลงทุนใน “ตลาดหุ้นฮ่องกง”  ถือเป็นอีกตลาดที่ควรหาจังหวะเข้าสะสม หุ้นจีนและฮ่องกง เพื่อลงทุนระยะยาว โดยให้น้ำหนักการลงทุน 20% แม้ช่วงนี้อาจเห็นตลาดผันผวนสูงและอาจมี Downside อีกราว 5-10% หลังรัฐบาลจีนเข้ามากำกับดูแลธุรกิจของภาคเอกชนมากขึ้น ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา มาร์เก็ตแคปหุ้นเทคฯ จีนลดลง 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ขณะที่ผู้ลงทุนโยกเงินไปซื้อหุ้นเทคฯสหรัฐฯ ดันมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ประเด็นนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนมากนัก เพราะสิ่งที่รัฐบาลจีนทำคล้ายนโยบายประชานิยม ซึ่งจะส่งผลดีต่อประชาชนส่วนใหญ่ในระยะยาว โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์ตัวเลขจีดีพีจีนปี 2564 ว่า จะยังเติบโตได้ประมาณ 7-8%

 

สำหรับหุ้น และ ETF เด่น ในตลาดหุ้นฮ่องกง แนะนำลงทุน 2 ตัวหลัก คือ

 

1.หุ้นตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง  หรือ HKEX (388) ที่อาจได้รับประโยชน์จากการที่บริษัทฯ จีน กลับมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงมากขึ้นแทนที่การจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ 

 

2.Premia China STAR50 ETF (3151 HK) ซึ่งเป็น ETF ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี STAR 50 หุ้น A-share 50 ตัวบนกระดาน STAR ของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน คาดว่า การคุมเข้มของทางการจีนจะมีผลกระทบจำกัดต่อดัชนี STAR 50 

 

ส่วน “เวียดนาม" ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยให้น้ำหนักการลงทุน 20% หนุนด้วยเศรษฐกิจที่โตต่อเนื่อง, ดอกเบี้ยนโยบายที่มีโอกาสปรับลดลง และการมีนโยบายคุ้มครองเงินฝากเหมือนไทย ทำให้คนหันมาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น 

 

"เราแนะนำลงทุน DR “E1VFVN3001” ที่มีหลักทรัพย์   รับฝากเป็นกองทุนรวม ETF ที่อ้างอิงดัชนี VN30 สะท้อนหุ้นชั้นนำ 30 บริษัทแรกในเวียดนาม โดยผู้ลงทุนไทยสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทย ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อย่างไรก็ดีสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แนะนำให้น้ำหนักการลงทุนประมาณ 20%"นายรัฐศรัณย์ กล่าว