BGC รุกสร้างเตาหลอมแก้วใหม่ เพิ่มกำลังผลิต และขยายลงทุนถุงบรรจุภัณฑ์

18 ส.ค. 2564 | 08:27 น.

BGC เปิดแผนครึ่งปีหลัง เร่งก่อสร้างเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ในราชบุรี และลงทุนขยายกำลังการผลิตปราจีนบุรีรวม 440 ตันต่อวัน ดันกำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็นเกือบ 4,000 ตันต่อวัน พร้อมเดินหน้าลงทุนขยายกำลังการผลิต ‘ถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน’ สูงสุด 50 ล้านเมตรต่อปี

นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) (BGC) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมุ่งเน้นการเร่งลงทุนก่อสร้างเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ภายในโรงงานจังหวัดราชบุรี และลงทุนขยายกำลังการผลิตในโรงงานจังหวัดปราจีนบุรีหลังได้รับการอนุมัติแผนลงทุนจากคณะกรรมการบริษัทเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขยายกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นอีก 440 ตันต่อวัน ใช้งบลงทุนรวม 2,500 ล้านบาท 

 

อย่างไรก็ตาม โรงงานดังกล่าวจะใช้เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ สามารถควบคุมอุณหภูมิและต้นทุนด้านพลังงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งมีความยืดหยุ่นในการผลิตสูง เพื่อรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต คาดว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างจนแล้วเสร็จอีกประมาณ 18 เดือน ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวมทุกโรงงานเพิ่มขึ้นจาก3,495 ตันต่อวัน เป็น 3,935 ตันต่อวัน ครองส่วนแบ่งการตลาดผู้นำด้านการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วในประเทศ

นอกจากนี้ ยังใช้งบลงทุน 176 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน สูงสุด 50 ล้านเมตรต่อปี ผ่านบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ที่เป็นบริษัทย่อย หลังได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทเป็นที่เรียบร้อย เพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงและรุกขยายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงเป็นการสร้างโอกาสต่อยอดรุกเข้าสู่ธุรกิจกลางน้ำเพื่อผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) รองรับเป้าหมายการเติบโตของกลุ่มบรรจุภัณฑ์ในอนาคต คาดว่าจะเริ่มการลงทุนก่อสร้างในไตรมาส 1 ปี 2565 และผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายในไตรมาส 1 ปี 2566

 

ขณะเดียวกัน จะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อรับมือราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นโดยได้นำเทคโนโลยีด้านซอฟท์แวร์ที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในกระบวนการควบคุมการปล่อยพลังงานภายในเตาหลอมแก้ว เพื่อทำให้การควบคุมระดับอุณหภูมิมีความเสถียรมากยิ่งขึ้น การปรับสูตรการผลิตและสัดส่วนวัตถุดิบ เช่น เศษแก้วให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงเลือกใช้เชื้อเพลิงพลังงานทางเลือก เช่นน้ำมันเตา น้ำมันฟีนอล ที่มีผลกระทบด้านราคาต่ำกว่าแก๊สธรรมชาติ ส่งผลต่ออัตรากำไรที่เพิ่มมากขึ้นรวมถึงการลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีความสามารถในการแข่งขัน และนำพาให้บริษัทฯเป็นผู้นำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ระดับสากล เพื่อปูพื้นฐานไปสู่การแข่งขันเชิงรุก

สำหรับแผนการดำเนินงานครึ่งปีหลัง วางเป้าหมายรักษาการเติบโตในระดับเดียวกับช่วงครึ่งปีแรกและเติบโตใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในปี 2562 โดยคาดว่าความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์จะได้รับผลกระทบชั่วคราวจากการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ หากมีการผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวและมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง มั่นใจว่าดีมานด์ด้านบรรจุภัณฑ์จะกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่ ตลาดต่างประเทศคาดว่าจะเติบโตได้ดี โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ส่งออกในปี 2564 เป็น 10% ของรายได้รวม โดยเฉพาะตลาดสหรัฐที่มีแนวโน้มที่ดีจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ คาดว่ายอดขายในปีนี้จะมีการเติบโตทั้งจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วและจากการควบรวมกิจการ ในบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) และบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ซึ่งมียอดขายในปีนี้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา