โควิด-19 ยืดเยื้อ โบรกแนะลดลงทุนในหุ้น 50%

03 ส.ค. 2564 | 01:49 น.

โควิดรอบ 3 ยังยืดเยื้อ กดดันหุ้นไทยลดลง 49.58 จุด หรือ 3.12% มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเหลือ 84,554.62 ล้านบาท โบรกเกอร์แนะปรับพอร์ตลงทุนหุ้น 50% ที่เหลือเก็บเงินสดรอดัชนีไหลลงแรง ช้อนหุ้น Domestic play

นับเป็นระยะเวลากว่า 3 เดือนกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบ 3 ที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด ส่งผลกระทบทั้งเศรษฐกิจและปากท้องประชาชน รวมถึงการลงทุนในตลาดหุ้นที่ยังมีความเสี่ยงและกังวลกับยอดผู้ติดเชื้อในประเทศที่ทรงตัวระดับสูง และบางวันยังพุ่งขึ้นไปทำสถิติใหม่ด้วย  ทำให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเริ่มเบาบางลง เพราะความเสี่ยงยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง

 

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยตั้งแต่เดือนเมษายนถึงวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงของการระบาดโควิดรอบ 3 ปิดที่ 1,537.63 จุด ลดลง 49.58 จุด หรือ 3.12% จากวันที่ 31 มีนาคม 2564 ปิดที่ 1,587.21 จุด ขณะที่ การระบาดโควิด 2 รอบที่ผ่านมา ดัชนีจะปรับขึ้นทุกครั้ง

 

รอบแรกปรับเพิ่มขึ้น 135.61 จุด หรือ 10.11% ส่วนรอบ 2 เพิ่มขึ้น 110 จุด หรือ 7.44% ด้านมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรอบแรกอยู่ที่วันละ 66,074.69 ล้านบาท, รอบ 2 อยู่ที่วันละ 94,621.51 ล้านบาท และรอบ 3 อยู่ที่ 84,554.62 ล้านบาท

 

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน จำกัดเปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ยังมีแรงกดดันไปในทิศทางลง ซึ่งอาจจะมีแรงบวกตอบรับบ้างจากผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย ไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ออกมาดี โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน แต่ยังต้องระวังช่วงผ่านพ้นการประกาศงบไตรมาส 2 เพราะความเสี่ยงของทุกอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ไตรมาส 3

กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล. โนมูระ พัฒนสิน จำกัด

 อย่างไรก็ตาม มองว่า หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ตลาดจะต้องมีการสลับเปลี่ยนธีมหุ้น โดยในระยะสั้นหุ้นกลุ่มที่ยังได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของโควิด คือ กลุ่มโรงพยาบาล, โรงไฟฟ้า, ไอซีที รวมถึงหุ้นที่อิงการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ(Domestic play) ส่วนกลุ่มที่ยังมีความเสี่ยง คือ กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม

 

ทั้งนี้ แนะนำปรับพอร์ตการลงทุนให้ลงทุนในหุ้น 50% ส่วนที่เหลือเก็บเงินสดไว้เพื่อรอจังหวะลงทุนในช่วงที่ดัชนีปรับลดลงแรง ซึ่งเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้น Domestic play

โควิด-19 ยืดเยื้อ โบรกแนะลดลงทุนในหุ้น 50%

ด้านบล.เอเซีย พลัส จำกัดระบุว่า ในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับปัญหาไวรัส-19 ระลอกใหม่ กลุ่มหุ้นที่ตลาดให้น้ำหนักว่าจะปลอดภัย โดยดูจากผลตอบแทนเป็นรายอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงที่กังวลโควิดสายพันธ์เดลต้า รวมถึงการกระจายวัคซีนเริ่มเบาลง คือวันที่ 15 มิถุนายน-21 กรกฎาคม 2564 พบว่า มีกลุ่มหุ้นที่โตโดดเด่น หรือให้ผลตอบแทนเป็นบวก คือ กลุ่มบรรจุภัณฑ์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, การแพทย์, อาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจการเกษตร

 

ในทางกลับกันกลุ่มหุ้นที่ Underperform ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ถูกกระทบจากโควิดช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ที่มีมาตรการล็อกดาวน์เหมือนกัน จนกำไรลดลงอย่างมีนัยฯ และหลายๆ กลุ่มพลิกมาเป็นขาดทุนเลยคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์, รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์ ที่ถูกกดดันศูนย์การค้า, ขนส่งและโลจิสติกส์, ท่องเที่ยว และสื่อและสิ่งพิมพ์

ขณะที่ตลท.ได้รายงานการลงทุนทางตรงในต่างประเทศของบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ SET และตลาดหลักทรัพย์ mai ปี 2563 พบว่า บจ.ใน SET และ mai ที่มีสถานะการลงทุนในต่างประเทศรวม 278 บริษัทเท่าปีก่อนหน้า และคิดเป็น 37% ของบจ.ทั้งหมดในปี 2563 โดยเป็นบริษัทใน SET 251 บริษัท และเป็นบริษัทใน mai จำนวน 27 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการบริการ (Services) มากที่สุด และอยู่ในภูมิภาคอาเซียนสูงที่สุด ในประเทศเวียดนาม สิงคโปร์ และเมียนมา

 

ขณะที่มีมูลค่าจากกิจกรรมการลงทุนทางตรงในต่างประเทศปี 2563 รวม 139,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 156,000 ล้านบาท หรือ 53% โดยสัดส่วนการลงทุนคิดเป็น 9% ของมูลค่าเงินลงทุนของ บจ.ทั้งหมดในปี 2563

 

ส่วนรายได้จากต่างประเทศมีมูลค่ารวม 2.96 ล้านล้านบาท ลดลงราว 50,000 ล้านบาท หรือ 1.7% จากปีก่อนหน้า ซึ่งบจ.ใน 50 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ SET มีมูลค่า 2.1 ล้านล้านบาท หรือ 67% ของรายได้จากต่างประเทศทั้งหมดในปี 2563

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,701 วันที่ 1 - 4 สิงหาคม พ.ศ. 2564