ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคงคาดการณ์จีดีพีปีนี้ 1.8%หวังคุมโควิด-19

23 ก.ค. 2564 | 05:48 น.

SCBTคงประมาณการจีดีพีปี 64 อยู่ที่ 1.8% หวังคุมโควิดและฉีดวัคซีนเร็วขึ้นก่อนเดินหน้านโยบายการคลังกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ -หนุน 3ปัจจัยบวกไปต่อ “ คลัง-ท่องเที่ยว และส่งออก”

SCBTคงประมาณการจีดีพีปี 64 อยู่ที่ 1.8% หวังคุมโควิดและฉีดวัคซีนเร็วขึ้นก่อนเดินหน้านโยบายการคลังกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ -หนุน 3ปัจจัยบวกไปต่อ “ คลัง-ท่องเที่ยว และส่งออก”เผยต่างชาติมองโอกาสขยายธุรกิจในไทย

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคงคาดการณ์จีดีพีปีนี้ 1.8%หวังคุมโควิด-19

ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)หรือSCBT กล่าวว่า ธนาคารคงคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทยที่ 1.8% ในปี 2564 และ 3.1% ในปี 2565  โดยหวังว่าการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 และการเร่งฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้นสำคัญที่สุดในขณะนี้  เพราะหากควบคุมโควิดและเร่งฉีดวัคซีนได้เร็วขึ้นจะทำให้เกิดปัจจัยด้านบวกในปลายปีนี้    

ทั้งนี้ ปัจจัยด้านบวกคือ นโยบายกาคคลัง  การท่องเที่ยวและการส่งออก  เพราะหากสามารถควบคุมโควิด หรือจำนวนผู้ติดเชื้อได้ รวมถึงสถานการณ์โควิดไม่ลามโรงงานหรืออุตสาหกรรมการผลิตจะเอื้อต่อการผลิตได้  จากนั้นจะเห็นการเดินหน้านโยบายทางการคลังอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อสามารถผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์เพื่อให้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยและเห็นการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสามารถเดินหน้าต่อไปได้

“ เมื่อควบคุมโควิดได้ และกระจายฉีดวัคซีนได้เร็วขึ้นแล้ว  จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำนโยบายการคลัง นอกจากเยียวยาแล้วต้องฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย”

สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินนั้น มองว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในวันพุธที่  4 สิงหาคมนี้  คณะกรรมการกนง.จะมติให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50%ต่อปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นกรรมการกนง.ท่านใดท่านหนึ่งเลือกโหวตให้ลดดอกเบี้ยนโยบาย  เนื่องจากที่ผ่านมากนง.ส่งสัญญาณความเสี่ยง ทั้งสายพันธุ์เดลตาและล็อคดาวน์และแนวโน้มกนง.จะคงดอกเบี้ยต่ำในอีก 3 ปีข้างหน้าเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจ  แต่ขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็ต้องเตรียมตัวสำหรับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นของโลก ซึ่งธนาคารกลางต่างประเทศหลายแห่งส่งสัญญาณจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้

ดร.ทิม กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการโรดโชว์นักลงทุนสถาบันต่างชาติ และลูกค้าที่ผ่านมาพบว่านักลงทุนและลูกค้ายังมีความกังวลกับความไม่แน่นอนในภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยนักลงทุนถามถึงทิศทางของนโยบายการเงินและนโยบายการคลังของไทย และถามว่า ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน เรามองค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯอย่างไร เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าที่สุดในภูมิภาคตั้งแต่ต้นปี

“เรายังเห็นปัจจัยลบต่อค่าเงินบาท การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทยยังมีความไม่แน่นอน ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น และดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงอย่างมาก ทำให้เรามองว่า ค่าเงินบาทน่าจะเผชิญสภาวะที่ท้าทายในช่วงต่อจากนี้”

 อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่จากบทวิจัยล่าสุดของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดพบว่า บริษัทต่างชาติ รวมถึงบริษัทจากยุโรป มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจมายังภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะประเทศไทย เวียดนาม และมาเลเซีย