STGT เทรดพาร์ใหม่ ดีเดย์ 5 ม.ค.นี้

04 ม.ค. 2564 | 05:00 น.

STGT เริ่มเทรดพาร์ใหม่ 5 ม.ค.นี้ หนุนเพิ่มสภาพคล่องและขยายฐานผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ พร้อมปรับนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์(ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) หรือ STGT เปิดเผยว่า บริษัทฯจะเริ่มซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ราคามูลค่าหุ้นที่ตราไว้(พาร์) ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2564 หลังจากได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นอย่างเป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ให้เปลี่ยนแปลงจากหุ้นละ 1 บาท เป็นหุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งจะส่งผลให้หุ้น STGT เพิ่มขึ้นจากเดิม 1,434.78 ล้านหุ้นเป็น 2,869.56 ล้านหุ้น

STGT เทรดพาร์ใหม่  ดีเดย์ 5 ม.ค.นี้

 

การเปลี่ยนแปลงพาร์ คาดว่า จะส่งผลดีต่อการเพิ่มสภาพคล่องการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ เนื่องจากนักลงทุนจะใช้เงินลงทุนขั้นต่ำต่อการซื้อหุ้นในแต่ละครั้งลดลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจลงทุนหุ้น STGT และส่งผลดีต่อการเพิ่มจำนวนผู้ถือหุ้น รวมถึงสร้างความสนใจให้แก่นักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่พิจารณาสภาพคล่องการซื้อขายหุ้นของแต่ละบริษัทเป็นหนึ่งในเกณฑ์การตัดสินใจเพื่อเข้าลงทุน

นอกจากนั้น ยังจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทฯ เทียบเคียงได้กับราคาหุ้นของผู้ประกอบการถุงมือยางชั้นนำในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศมาเลเซีย (KLSE) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ (SGX) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในหุ้น STGT ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

บริษัทฯยังได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นจากเดิมเป็นไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ เป็นไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ และในปี 2564 มีนโยบายจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลทุกไตรมาสในเดือนมิถุนายน กันยายนและธันวาคม อย่างไรก็ตามคณะกรรมการบริษัทฯ อาจทบทวนนโยบายจ่ายเงินปันผลได้ตามที่เห็นสมควร

ส่วนความคืบหน้าการนำหุ้น STGT เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ (Secondary Listing by way of Introduction) บนกระดานหลัก (Main Board) นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นเอกสารเพื่อพิจารณา คาดว่าจะทำการซื้อขายหุ้นได้ในช่วงไตรมาส 2/2564 โดยไม่มีการออกและเสนอขายหุ้นใหม่ แต่เป็นการนำหุ้นเดิมบางส่วนเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจะอำนวยให้เกิดการขยายฐานผู้ถือหุ้นที่หลากหลาย สร้างชื่อเสียงบริษัทฯ ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงใช้เป็นช่องทางระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคตได้