CPALL โชว์Q1 ทำรายได้ 1.46 แสนลบ.โต 5.2%

13 พ.ค. 2563 | 02:17 น.

CPALL โชว์ไตรมาส1 ทำรายได้ 1.46 แสนล้านบาท โต 5.2%  กำไรสุทธิ 5,645 ล้านบาท รับอานิสงส์ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ7-11 และการรุกขยายสาขาเพิ่ม 271 สาขา ทำให้มีจำนวนสาขาทั่วประเทศ 11,983 สาขา

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือCPALL แจ้งผลดำเนินงานไตรมาส1/2563 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 5,645.11ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.60 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,769.18 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.61 บาท โดยเทียบช่วงเดียวกัน กำไรสุทธิของบริษัทไตรมาสแรกปีนี้ ลดลง 2.15%

 

ขณะที่มีรายได้รวม 145,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากรายได้จากการขายและบริการของธุรกิจร้านสะดวกซื้อรวม 82,885 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน

 

โดยมียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันเท่ากับ 78,872 บาท และรายได้จากการขายและบริการของธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสดและบริการต้นเองภายใต้ชื่อ“สยามแม็คโคร” อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ส่งผลกระทบทางลบต่อบริษัทตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันจากมาตรการควบคุมการระบาดจากภาครัฐ

 

โดยในช่วงไตรมาส 1/ 2563 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเปิดร้านสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 271 สาขาในทุกประเภท ทั้งร้านสาขาบริษัท ร้าน store business partner (SBP) และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้น ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563บริษัทมีจํานวนร้านสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 11,983 สาขา แบ่งเป็น (1) ร้านสาขาบริษัท 5,401สาขา (คิดเป็นร้อยละ 45) ร้านเปิดใหม่สุทธิ 186 สาขา ในไตรมาสนี้ (2) ร:าน SBP และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต 6,582 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 55) ร้านเปิดใหม่สุทธิ 85 สาขา ในไตรมาสนี้


ทั้งนี้ร้านสาขาส่วนใหญ่ยังเป็นร้านที่ตั้งเป็นเอกเทศ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 85 ของสาขาทั้งหมด และส่วนที่เหลือเป็นร้านในสถานีบริการน้ํามัน ปตท.

 

อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยปัจจุบันสถานการณ์ของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ยังคงมีอยู่ และส่งผลกระทบในเชิงลบต่อรายได้ และค่าใช้จ่าย รวมถึงมีความไม่แน่นอนอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นต่อการดําเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต

บริษัทมีการติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าพนักงาน ลูกค้า store business partner และคู่ค้ปลอดภัย และพยายามอย่างยิ่งยวดในการควบคุมให้มีผลกระทบต่อธุรกิจให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัดคงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมายอิง DCF ที่ 80 บาท (WACC: 7.3%, TG: 2%)  โดยมองว่าการเข้าซื้อกิจการของ Tesco Asia อาจเป็น upside