โควิด-19 กดดันศก.ภาพใหญ่หุ้นไทยQ 2เสี่ยง

12 เม.ย. 2563 | 02:21 น.

CIS ชี้ไวรัสโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก  นลท.รอตัวเลขความเสียหาย  มาตรการพลิกฟื้นศก.การลงทุนทั่วโลกและหุ้นไทยปรับขึ้นแค่ช่วงสั้น แนะรอผลประกอบการQ 2ที่จะสะท้อนทิศทาง คาดหุ้นสื่อสาร ประกัน อาหาร มีโอกาสOutperform 

นายณพวีร์  พุกกะมาน ผู้บริหารส่วนภูมิภาค จีเอ็มไอ เอดจ์ กลุ่มสถาบันการเงินจากประเทศอังกฤษและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Spaces (CIS)  สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่  เผยว่าจากที่ประเมินการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจทั่วโลกและประเทศไทย  นักลงทุนลังเลรอความชัดเจนหลังประกาศผลประกอบการในไตรมาส 2/63 แม้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) สัปดาห์ที่ผ่านมาจะปรับตัวขึ้นแรงตามตลาดหุ้นทั่วโลก  ซึ่งเริ่มมีการรายงานมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวยืนเหนือ 1,200 จุด หากนับตั้งแต่ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 966 จุด ถือว่าฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว 25%

อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นที่ผ่านมา  อาจจะยังไม่ใช่สัญญาณของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เนื่องจากวิกฤติรอบนี้ส่งผลกระทบไปยังภาคธุรกิจจริง (Real Sector) ต่างจากวิกฤติซับไพร์มรอบที่แล้วที่กระทบเพียงแค่ภาคการเงินและไทยเป็นผู้ได้ผลกระทบข้างเคียง แต่วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทยเข้าอย่างจัง ในเรื่องของการท่องเที่ยว ตัวเลขจากสภาการเดินทางและท่องเที่ยวโลก ระบุว่าประเทศไทยมีสัดส่วนรายได้จากภาคการท่องเที่ยวเทียบต่อจีดีพีสูงถึงระดับ 22% ซึ่งสูงที่สุดในโลก รองลงมาคือฟิลิปปินส์ที่ 21% และเม็กซิโก 16% ตามด้วยสเปนและอิตาลี

โควิด-19 กดดันศก.ภาพใหญ่หุ้นไทยQ 2เสี่ยง

“อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีสัดส่วนถึงเกือบหนึ่งในสี่ของจีดีพีไทย  และวิกฤติรอบนี้ได้ทำลายอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน แม้ตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตทั่วโลกจะมีแนวโน้มลดลงแต่ยังไม่สามารถ  ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจนและยังไม่รู้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นกลับมาได้เมื่อไหร่”

ข้อสังเกตสำคัญทางสถิติของตลาดหุ้นไทย คือวิกฤติครั้งก่อนๆ ทั้งต้มยำกุ้งและซับไพร์ม ค่า P/BV ของ SET Index จะลงมาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 0.75 แต่รอบนี้ยังลงมาไม่ถึงทั้งที่ระดับความเสียหายทางเศรษฐกิจมีความรุนแรงมากกว่า  ภาพรวมของดัชนี SET Index ณ ตอนนี้ยังไม่สะท้อน “ความเสียหาย” ที่แท้จริง ซึ่งเกิดจากไวรัสโควิด-19 แม้ผลประกอบการไตรมาส 1/63 ที่ออกมาก็ยังไม่สะท้อนความจริง  เพราะผลกระทบเริ่มเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2563 และในไตรมาสแรกบันทึกความเสียหายที่เพิ่งเริ่มในเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว

“แนะนำให้รอผลประกอบการไตรมาสสอง ซึ่งครอบคลุมเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2563 ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรงก่อนค่อยตัดสินใจลงทุน เพราะคาดว่าน่าจะมีการปรับลดกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทย ลงจากผลประกอบการที่แย่ลง ทำให้ดัชนีในตอนนี้อาจจะ “แพง” ก็เป็นได้”

โควิด-19 กดดันศก.ภาพใหญ่หุ้นไทยQ 2เสี่ยง

หากดูกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงแรงในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่า  เป็นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์และขนส่ง ซึ่งต่างเป็นเซ็กเตอร์ที่มีน้ำหนักเกินกว่าครึ่งหนึ่งของดัชนี SET Index  และยังมีปัจจัยเสี่ยงรออยู่ข้างหน้าอีก เช่น สงครามราคาน้ำมัน หนี้เสียที่เกิดจากการผิดนัดชำระหนี้

ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะปรับตัวมากกว่าดัชนีตลาด (Outperform) น่าจะเป็นกลุ่มสื่อสาร เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากปริมาณการใช้ระบบข้อมูล (Data) ที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากกระแสการปรับพฤติกรรมการทำงานแบบ Work From Home  เพื่อช่วยหยุดการระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งเมื่อวิเคราะห์โอกาสทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมีความเป็นไปได้สูงที่พฤติกรรมในอนาคตผู้คนจะคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตกับโลกออนไลน์มากขึ้น

กลุ่มประกัน จากข่าวล่าสุดที่ออกมาจากสำนักงาน คปภ. พบว่าคนไทยแห่ซื้อประกันภัยโควิด จำนวนกว่า 7.1 ล้านฉบับ ภายในระยะเวลาสองเดือน หากไม่มีการเคลมประกันเกิดขึ้นจำนวนมหาศาล  จะทำให้ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มนี้เติบโตขึ้น และจากเหตุการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดนี้น่าจะทำให้คนไทยมองเห็นว่าการทำประกันมีความสำคัญกับชีวิตมากขึ้น แต่อาจจะมีปัจจัยเสี่ยงจากพอร์ตการลงทุนที่จะต้องนำไปลงทุนต่อในสภาวะที่ตลาดการเงินผันผวนสูง   รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง

กลุ่มอาหาร อาหารก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ โดยเฉพาะยิ่งในภาวะวิกฤติแบบนี้ความต้องการอาหารยิ่งมีเพิ่มขึ้น ทั้งผู้ผลิตอาหารสดและอาหารสำเร็จรูป

โควิด-19 กดดันศก.ภาพใหญ่หุ้นไทยQ 2เสี่ยง

นายณพวีร์ กล่าวเน้นย้ำว่า ในช่วงเวลานี้ คือจังหวะที่ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและที่สำคัญ “อย่าใจร้อน” ไล่ซื้อหุ้น เพราะหมอกควันของวิกฤติยังไม่จางลง ยังไม่เห็นทางข้างหน้าว่ามีอุปสรรคอะไรรออยู่ จึงไม่จำเป็นต้องเล่นซื้อหุ้นจนหมดพอร์ตในช่วงนี้

“หลังวิกฤตจบลงทุกครั้งจะเกิดเศรษฐีใหม่  ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น”