ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดเมื่อคืนนี้ ( 4 มิ.ย. )พุ่งขึ้น 512.40 จุด หรือ +2.06% ปิดที่ 25,332.18 จุด ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 58.82 จุด หรือ +2.14% ปิดที่ 2,803.27 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 194.10 จุด หรือ +2.65% ปิดที่ 7,527.12 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติพุ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ ขานรับสัญญาณบวกที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดได้ให้คำมั่นว่า เฟดจะดำเนินการในสิ่งที่จำเป็นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจนำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) กลับมาใช้อีกครั้ง
นายพาวเวลระบุว่า เครื่องมือที่เฟดเคยนำมาใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ ได้แก่ การกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับใกล้ 0% และการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE มีแนวโน้มที่เฟดจะนำมาใช้อีกครั้ง
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่สมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกันกำลังหารือกันเกี่ยวกับการลงมติคัดค้านแผนการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก รวมถึงแรงหนุนจากถ้อยแถลงของทางการจีนที่ระบุว่า จีนจะสนับสนุนการเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐ
หุ้นกลุ่มรถยนต์ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นเจเนรัล มอเตอร์ (GM) พุ่งขึ้น 6.02% ฟอร์ด มอเตอร์ พุ่งขึ้น 3.23% ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวเมื่อคืนนี้ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 3.6% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 4.6% หุ้นซิตี้กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 5.2% และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 3.1%