คลังเล็งนำข้อมูลจ่ายค่าไฟฟ้าใช้พิจารณาปล่อยสินเชื่อ

23 ม.ค. 2566 | 06:39 น.

คลังเพิ่มโอกาสประชาชนเข้าถึงสินเชื่อ เล็งนำข้อมูลการชำระค่าไฟฟ้ามาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อ ตามนโยบายต้องการแก้ไขหนี้ ถก “กฟภ.-กรุงไทย-เครดิตบูโร” หาแนวทางร่วมกัน

นายพรชัย ฐีระเวช ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงการคลัง ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานจัดทำมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ได้เป็นประธานในการหารือระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จํากัด

 

ในประเด็นเกี่ยวกับแนวทางการนำข้อมูลการใช้ไฟฟ้าและข้อมูลการชำระค่าไฟฟ้ามาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินของประชาชน ซึ่งเป็นไปตามที่ภาครัฐให้ความสำคัญกับการแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือนโดยกำหนดเป็นวาระสำคัญของประเทศ

 

ซึ่งกระทรวงการคลังมองว่า การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนนั้น จะต้องดำเนินการใน 3 ส่วนหลัก คือ

  1. การแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่เดิม เพื่อช่วยผ่อนปรนภาระให้กับลูกหนี้
  2. การสร้างรายได้ผ่านการให้สินเชื่อเพิ่มเติม เพื่อให้มีรายได้สอดคล้องกับภาระหนี้
  3. การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการสร้างทักษะทางการเงิน (Financial Literacy)

ทั้งนี้ การประชุมในครั้งนี้เป็นการผลักดันในข้อ 2 เกี่ยวกับการเข้าถึงสินเชื่อในอัตราที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการดำเนินการเพิ่มเติมจากที่กระทรวงการคลังได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยจัดมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ไปแล้ว

โดยที่ประชุมมีแนวคิดที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลการใช้ไฟฟ้าและชำระค่าไฟฟ้าภายใต้การครอบครองของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ประกอบการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ในต่างจังหวัด ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนและสภาพคล่องในระบบ และบรรเทาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสินเชื่อในสถาบันการเงินในอนาคต

ทั้งนี้ ในระยะต่อไป 3 หน่วยงานจะร่วมกันหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อจัดทำโครงการนำร่องในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลการใช้ไฟฟ้าและชำระค่าไฟฟ้าภายใต้การครอบครองของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมากขึ้นด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม