ดาวโจนส์ปิดร่วง 211.16 จุด จับตาแผนปรับขึ้นดอกเบี้ยเฟด

14 พ.ย. 2565 | 23:35 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 200 จุดในวันจันทร์ (14 พ.ย.) โดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มการเงินดิ่งลงนำตลาด ขณะที่นักลงทุนประเมินการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เกี่ยวกับแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

          
 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,536.70 จุด ลดลง 211.16 จุด หรือ -0.63%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,957.25 จุด ลดลง 35.68 จุด หรือ -0.89% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,196.22 จุด ลดลง 127.11 จุด หรือ -1.12%
          

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน โดยในช่วงแรก ตลาดดีดตัวขึ้นหลังจากนางลาเอล เบรนาร์ด รองประธานเฟดส่งสัญญาณในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า เฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้านี้  แต่หลังจากนั้นตลาดปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว เมื่อนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า เฟดจะไม่ผ่อนคลายมาตรการต่อสู้กับเงินเฟ้อ แม้ว่าเงินเฟ้อปรับตัวต่ำกว่าคาดในเดือนต.ค. เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวมาจากข้อมูลเพียงชุดเดียว และเฟดจำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลในวงกว้างเพื่อให้มั่นใจว่าเงินเฟ้อได้ชะลอตัวลงอย่างแท้จริง

 

การแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดทำให้นักลงทุนหันมาจับตาการเปิดเผยดัชนี PPI ประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 7.7% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.9% และชะลอตัวจากระดับ 8.2% ในเดือนก.ย.
         

ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 2.7% โดยหุ้นโจนส์ แลง ลาซาลล์ ดิ่งลง 3.28% หุ้นอาร์มาดา ฮอฟเฟอร์ พร็อพเพอร์ตีส์ ปรับตัวลง 0.92% หุ้นอเมริกัน เรียลตี้ อินเวสเตอร์ส ลดลง 0.78%
         

ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลง 1.5% โดยหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ปรับตัวลง 0.48% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.81% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับตัวลง 1.1% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 1.43%

หุ้นแอมะซอน ร่วงลง 2.28% หลังจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า บริษัทแอมะซอนจะปลดพนักงานราว 10,000 คน โดยจะเริ่มตั้งแต่สัปดาห์นี้ ซึ่งนับเป็นการเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยจะกระทบต่อฝ่ายค้าปลีกและทรัพยากรบุคคล
         

ก่อนหน้านี้ แอมะซอนคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาส 4/2565 จะเพิ่มขึ้น 2-8% สู่ระดับ 1.40-1.48 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.55 แสนล้านดอลลาร์