เบทาโกร (BTG) ...ความเจ็บปวดของนักลงทุน

03 พ.ย. 2565 | 21:30 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** BTG หรือ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) กลายเป็นหุ้นใหญ่ตัวล่าสุด ที่เปิดการซื้อขายในวันแรกแล้วราคาหลุดลงไปถึง -9.38% ด้วยการปิดราคาที่ 36.25 บาท จากราคาจองซื้อที่ 40.00 บาท ที่บอกว่า BTG เป็นหุ้นใหญ่ก็เพราะนี่เป็นการระดมทุนของหุ้นในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นหลุดต่ำกว่าราคาจอง นอกจากเหตุผลที่นักวิเคระห์จาก บล.ทรีนีตี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายที่ได้ออกมาอธิบายกึ่งๆ จะแก้ตัวว่าสาเหตุที่ต่ำจอง เป็นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่สร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงผลประกอบการ BTG ที่ยังไม่อาจสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนได้ดีพอ 
 

ขณะเดียวกันมีการตั้งข้อสังเกตจากนักลงทุนบางส่วนว่า การตั้งราคาไอพีโอของ BTG แพง...และไม่มีส่วนลดราคาเพื่อล่อใจนักลงทุน เมื่อเทียบกับหุ้นในธุรกิจเดียวกันตัวอื่น รวมไปถึงรูปแบบของการประชาสัมพันธ์ที่น่าจะผิดปกติ เนื่องจากการเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะของบริษัทที่มีน้อยมาก จนทำให้นักลงทุนบางรายแทบจะไม่รู้เลยว่า BTG คือหุ้นอะไร หรือว่าจะเข้าเทรดวันไหนด้วยซ้ำ ซึ่งน้อยมากเกินไปสำหรับการระดมทุนของหุ้นตัวใหญ่ขนาดนี้
 

ก็อย่างว่า...เมื่อเดินหมากเม็ดแรกผิด ก็อาจส่งผลให้แพ้ทั้งกระดาน ซึ่งผลจากการที่ BTG เดินเกมผิดตั้งแต่แรก ก็ส่งผลให้ราคาหุ้นต่ำจองอย่างที่เห็น อย่างไรก็ตามเจ๊เมาธ์ ก็ยังมองว่า ด้วยการเป็นหุ้นปัจจัยสี่จะส่งผลให้ BTG เป็นหุ้นที่น่าสนใจในระยะยาว เพียงแต่ตอนนี้อาจจะต้องรอราคาหุ้นที่อาจจะลดต่ำลงไปอีก เพื่อให้มีส่วนลดหน้ากระดานเพิ่มขึ้นบ้าง หลังจากนั้นอย่างอื่นค่อยมาว่ากันอีกทีเจ้าค่ะ
 

*** ราคาหุ้นของ BEC ปรับร่วงลงมาเกือบ 50% เมื่อเทียบกับราคาหุ้นสูงสุดในเดือนมีนาคม ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้นไปถึง 17.90 บาท ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ เจ๊มองว่า การที่ราคาหุ้นของ BEC ทรุดตัวกลับลงมาตั้งฐานใหม่เช่นนี้ เป็นความผิดหวังของนักลงทุนที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลการดำเนินงานของบริษัทที่แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปีที่ผ่านมา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเนื้อหาที่ BEC ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ พอที่จะนำมาสร้างเป็นกระแสได้เหมือนเช่นที่ก่อนหน้านี้ที่เคยได้ “เสี่ย ส.” หรือ สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดังกลับเข้ามาอ่านข่าวให้ BEC อีกครั้ง 
 

ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญมากที่สื่อกระแสหลักหลายราย กำลังถูกสื่อกระแสใหม่ที่กำลังเข้ามาลดบทบาทลงไป (Disruption) ซึ่งงานนี้บอกเลยว่า ถ้ายังค้นหาทางออกไม่ได้ ราคาหุ้นของ BEC ก็ยังน่าจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ออกมาให้เห็นด้วยเช่นกัน
 

*** ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่การที่ GLOCON เปลี่ยนแปลงภายใน เริ่มจากการที่ “นพพร ภัทรรุจี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และ “อริศรา ลีลาอําไพ” ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน (CFO) ได้ยื่นใบลาออกพร้อมกัน เปิดทางให้มีการดึงเอา “เพ็ญศรี สืบสุวงษ์” มาเป็นรักษาการ CEO และแต่งตั้ง “วชิราภรณ์ อัจนปัญญา” มาเป็น CFO เป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน อย่าลืมว่าหุ้นตัวนี้เคยใช้ชื่อว่า NPP และ NPPG ซึ่งชื่อเดิมทั้งสองต่างก็เคยติดโผ “หุ้นซิ่ง” แบบไม่ธรรมดามาแล้ว ก่อนที่จะมาใช้ชื่อ GLOCON ในปัจจุบัน 
 

ขณะเดียวกันด้วยผลการดำเนินงานที่เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ก็ดูเหมือนว่ากำลังส่งผลให้ชื่อเสียงของ GLOCON เริ่มกลับมาดูดีได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องตามดูกันต่อไปว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ว่า จะทำให้หุ้นตัวนี้จะมีอะไรเปลี่ยนไปได้แค่ไหน มาทรงนี้บอกเลยว่า ถ้าดี...ก็น่าดีจนใจหาย แต่ถ้ากลับไปเป็นเหมือนเดิมก็อาจจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่กันอีกรอบเจ้าค่ะ
 

*** ถ้าเอาหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายตัวมาเทียบกันแล้ว ดูเหมือนว่า BGRIM น่าจะเป็นหุ้นที่เสียเปรียบหุ้นตัวอื่นมากที่สุด อย่างแรก คือ การที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของ BGRIM ยังผูกอยู่กับสินค้าพลังงานนำเข้า ที่ไม่สามารถควบคุมต้นทุนได้ เป็นเหตุให้ผลการดำเนินงานตกต่ำและเข้าสู่ภาวะขาดทุน 
 

อย่างที่สองคือ การทำธุรกิจเชิงเดียวที่พึ่งพิงธุรกิจการขายไฟฟ้าเป็นหลัก ทำให้มีความยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลง น้อยกว่าบริษัทให้กลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันรายอื่นๆ ซึ่งที่ว่ามานี้ก็เป็นเหตุให้ราคาหุ้นของ BGRIM ยังไม่สามารถที่จะปรับตัวกลับไปสู่ทิศทางขาขึ้นได้ ตามที่ควรจะเป็น เจ๊เมาธ์บอกเลยว่าหุ้นตัวนี้ในระยะสั้นหุ้นตัวนี้ยังไม่น่าสนใจ แต่ถ้าหากว่าราคาหุ้นต่ำลงไปมากกว่านี้ ก็ไม่แน่เหมือนกันนะคะ และถ้าชอบก็ต้องเก็บตอนย่อ...เก็บยาว จนถึงยาวมากๆ ก็อาจจะพอได้ค่ะ 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,833 วันที่ 6 - 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565