ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,653.20 จุด ลดลง 79.75 จุด หรือ -0.24%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,856.10 จุด ลดลง 15.88 จุด หรือ -0.41% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,890.85 จุด ลดลง 97.30 จุด หรือ -0.89%
สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้น 437,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 10.7 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 9.85 ล้านตำแหน่ง
ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS นับเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยของเฟด
แอนโทนี ซากลิมบีน นักวิเคราะห์จากบริษัทอเมริไพรซ์ ไฟแนนเชียลในรัฐมิชิแกนกล่าวว่า นักลงทุนรับรู้ว่าเฟดต้องการทำให้ตลาดแรงงานและการจ้างงานชะลอตัวลง เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและฉุดเงินเฟ้อให้ปรับตัวลง แต่ข้อมูลแรงงานที่มีการเปิดเผยล่าสุดบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังแข็งแกร่งมาก และอาจทำให้เฟดใช้เป็นเหตุผลในการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P 500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย โดยหุ้นแอมะซอน ดิ่งลง 5.52% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 1.71% หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 1.75% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 4.27%
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 2% โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล บวก 0.99% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน เพิ่มขึ้น 0.21% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 1.34% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 0.70%
หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นขานรับความหวังที่ว่าจีนอาจจะกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง หลังมีกระแสข่าวว่า จีนได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อหารือเรื่องการผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ ทั้งนี้ หุ้น JD.Com พุ่งขึ้น 3.08% หุ้นอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง ทะยานขึ้น 3.59%
นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันพุธที่ 2 พ.ย.ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 3 พ.ย.ตามเวลาไทย ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมครั้งนี้ และจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.