เงินเฟ้อพุ่ง เศรษฐกิจถดถอย ลงทุนตราสารหนี้ดีจริงหรือไม่

29 ส.ค. 2565 | 01:07 น.

นับตั้งแต่เงินเฟ้อปรับขึ้นสูงต่อเนื่อง เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง โดยคาดว่าศก.โลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปี 2566 ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนปรับฐานลงค่อนข้างรุนแรง ทำให้นักลงทุนที่นิยมลงทุนตราสารหนี้ เริ่มตั้งคำถามว่า “ตราสารหนี้ สามารถลงทุนได้หรือไม่”

นับตั้งแต่เงินเฟ้อปรับขึ้นสูงต่อเนื่อง ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงเช่นกัน โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปี 2566 ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนและปรับฐานลงค่อนข้างรุนแรง ทำให้นักลงทุนที่นิยมลงทุนตราสารหนี้เริ่มตั้งคำถามว่า “ตราสารหนี้ สามารถลงทุนได้หรือไม่” 

 

นายเจษฎา เจริญสันติพงศ์ Assistant Manager Branch Banking Client Marketing บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ธนชาต ให้คำตอบในเรื่องนี้ว่า  โดยรวมแล้ว ตราสารหนี้ก็เป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่เหมาะกับการลงทุนในช่วงตลาดหุ้นเป็นขาลง เนื่องจากราคาของตราสารหนี้มักจะปรับเพิ่มขึ้นเมื่อราคาหุ้นปรับลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนตราสารหนี้เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น หากลงทุนหุ้นและได้รับผลตอบแทนโดยรวมเท่าเดิมหรือลดลงเพราะความเสี่ยงเพิ่มขึ้น นักลงทุนก็จะหันมาลงทุนตราสารหนี้เพราะมีโอกาสได้รับดอกเบี้ย (ผลตอบแทน) สูงขึ้น และมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น

 

จากภาวะตลาดการลงทุนที่ผันผวน ทำให้ตราสารหนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพราะนักลงทุนที่ลงทุนตราสารหนี้ (รวมทั้งตลาดหุ้น) มักคาดการณ์ล่วงหน้าก่อนตัดสินใจลงทุน เช่น หากคาดว่าเศรษฐกิจจะถดถอยในอนาคตอันใกล้ ราคาตราสารหนี้มักจะปรับสูงขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นโดยรวมจะปรับลดลง โดยจากสถิติที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนเทขายหุ้นก่อนที่จะเกิดสถานการณ์เลวร้าย เช่น วิกฤติซับไพรม์และการแพร่ระบาดของ COVID-19 ราคาตราสารหนี้จึงปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นผันผวนและปรับลงอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับลดลง (เพราะนักลงทุนรับรู้ล่วงหน้าไปแล้วว่าจะได้รับเงินเท่าไร ด้วยการคำนวณราคาตราสารหนี้ คือ นำเงินที่จะได้ในอนาคตเป็นตัวตั้งแล้วหารด้วยอัตราดอกเบี้ย ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นราคาตราสารหนี้ ดังนั้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเท่าไร ราคาตราสารหนี้ก็ยิ่งปรับลดลงเท่านั้น) แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาตราสารหนี้ทุกตัวจะปรับลดลงในระดับที่เท่ากัน เมื่อเป็นเช่นนั้น นักลงทุนก็สามารถเลือกลงทุนตราสารหนี้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนั้น มาดูกันว่าตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาลแต่ละประเภทเป็นอย่างไรในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย

 

  • พันธบัตรรัฐบาล ถึงแม้ว่าทุกการลงทุนไม่สามารถการันตีผลตอบแทนได้ แต่พันธบัตรรัฐบาลมักเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนหรือเศรษฐกิจถดถอย เพราะข้อดีของพันธบัตรรัฐบาล คือ มีความเสี่ยงต่ำ เงินต้นไม่หาย และได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยจะได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากำหนด ระยะเวลาลงทุนไม่นานมาก เช่น 3 ปี หรือ 5 ปี โดยเมื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาล เมื่อถึงเวลาไถ่ถอนตามกำหนดสัญญา จะได้รับเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยเป็นรายปี ซึ่งเหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงหรือยอมรับความเสียหายจากการลงทุนได้ไม่มากและต้องการใช้ตราสารหนี้เพื่อบริหารเงินลงทุน (Portfolio Management) ให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
  • พันธบัตรป้องกันเงินเฟ้อ (Treasury Inflation-Protected Securities) การลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ลงทุนในทองคำ อสังหาริมทรัพย์ แต่วิธีที่ให้ผลตอบแทนสัมพันธ์กับเงินเฟ้อโดยตรง คือ พันธบัตรป้องกันเงินเฟ้อ เนื่องจากมีอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ โดยดอกเบี้ยจ่าย (Coupon) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Yield) ซึ่งถูกกำหนดไว้คงที่แน่นอนสำหรับพันธบัตรแต่ละรุ่น และดอกเบี้ยจ่ายซึ่งจะขึ้นอยู่กับเงินเฟ้อในช่วงนั้น (อ้างอิงกับดัชนีเงินเฟ้อทั่วไป) อีกทั้ง เงินต้นยังได้รับการปกป้องจากเงินเฟ้อให้มีอำนาจซื้อเท่าเดิมด้วย โดยจะปรับเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่วนดอกเบี้ยจ่ายจะปรับเพิ่มหรือลดลงตามเงินเฟ้อ และจ่ายเป็นร้อยละของเงินต้นที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยจ่ายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
     

 

  • ตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield Bond) ตราสารหนี้ประเภทนี้มักเผชิญความผันผวนด้านราคาในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวน เนื่องจากมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ เช่น ผู้ออกตราสารที่อ่อนแออาจมีโอกาสที่จะไม่สามารถชำระคืนเงินต้นได้ ซึ่งเป็นเหตุให้นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย

 

จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนเริ่มคำนึงถึงความต้องการที่จะได้รับผลตอบแทนสูงสุดภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด ซึ่งตราสารหนี้สามารถตอบโจทย์นี้ได้ เพราะนอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงแล้ว ยังให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ดีและความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น ๆ  

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

 

อ้างอิงที่มา :  SET , setinvestnow.com