พับแผน ช่วย“ค่าไฟแพง” ไว้ก่อน

04 ก.ย. 2565 | 00:30 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...ว.เชิงดอย

*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3805 ระหว่างวันที่ 4-7 ก.ย.2565 โดย “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
    

*** “ยุคผลัดใบ” จะชั่วคราว หรือ ยาวๆ ไป ก็ต้องรอดูกันไป สำหรับการเปลี่ยนแปลงคนที่ทำหน้าที่ “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย จาก บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็น พี่ใหญ่ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ รักษาการนายกฯ ซึ่งระหว่างนี้ บิ๊กตู่ ก็ยังคงเหลือตำแหน่ง รมว.กลาโหม อยู่ ยังสามารถเข้าร่วมประชุมครม.ได้เหมือนเดิม แต่อำนาจในฐานะนายกฯ เปลี่ยนไปอยู่ในมือ “บิ๊กป้อม” เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว …ส่วน “บิ๊กตู่” จะได้หวนคืนตำแหน่งนายกฯ อีกครั้งหรือไม่ ชะตากรรมขึ้นอยู่กับ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่จะฟันธงออกมาว่า เป็น “นายกฯ 8 ปี” ครบแล้วหรือยัง ถ้าเป็นครบแล้ว ก็หมดสิทธิ์คัมแบ็ก แต่ถ้า “รอด” ก็กลับมาผงาดอีกครั้งบนเก้าอี้นายกฯ และยังได้ไปต่อบนถนนการเมือง ว่ากันว่า ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน คงได้รู้ผลกัน...        

*** หันไปดูการทำหน้าที่ “นายกฯรักษาการ” ของ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร แม้จะเป็นแค่นายกฯ รักษาการ แต่ขณะนี้ถือได้ว่ามี “อำนาจเต็ม” เพราะในการประชุม ครม. นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 30 ส.ค.2565  พล.อ.ประวิตร ในฐานะรักษาการนายกฯ  ได้ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 215/2565 เรื่องมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 ส.ค.2565 และให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ 24 ส.ค.2565 โดยคำสั่งดังกล่าวให้ พล.อ.ประวิตร รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และกรณี พล.อ.ประวิตร ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกฯ  ตามลำดับดังนี้ นายวิษณุ เครืองาม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, นายดอน ปรมัตถ์วินัย และนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ แต่หัวใจที่สำคัญคือ กำหนดให้ พล.อ.ประวิตร มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการหรือองค์กรใด
    

*** ขณะที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผยว่า คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีเดิมที่จัดลำดับไว้ระบุว่า เวลารองนายกฯ ซึ่งรักษาราชการจะจัดการงานได้หมดยกเว้นการแต่งตั้งและเรื่องงบประมาณที่ต้องปรึกษานายกฯ ก่อน วันนี้มีการเสนอคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีปรับปรุงคำสั่งดังกล่าว เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ พล.อ.ประวิตร เมื่อรักษาการนายกฯ แล้ว หากมีการแต่งตั้งโยกย้าย หรือ มีเรื่องงบประมาณจะต้องไปปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ ที่อยู่ระหว่างหยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องแก้คำสั่งตัดประโยคนี้ออกไป เพื่อให้มีอำนาจเต็มและมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 24 ส.ค.2565

*** ตามไปดูการทำหน้าที่ “รักษาการนายกฯ” ในที่ประชุม ครม.นัดแรกของ “บิ๊กป้อม” มีรายงานว่า ครม.ครั้งนี้ได้อนุมัติงบประมาณไปรวม 6,300 ล้านบาท ใน 2 โครงการ ได้แก่ 1.อนุมัติวงเงิน 1,050 ล้านบาท จาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ เพิ่มเติม 2565 เพื่อเป็นค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชยและค่าเสี่ยงภัยโควิด-19 สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 1.03 ล้านคน และ อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) 10,577 คน รวม 1.05 ล้านคน อัตราคนละ 500 บาท/เดือน ระยะเวลาเดือน เม.ย.-พ.ค.2565 โดยรัฐบาลได้เคยให้ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยแก่ อสม.และ อสส.ในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโควิด-19 ในชุมชนไปก่อนหน้านี้เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือน ต.ค.2564-มี.ค.2565 วงเงิน 3,150 ล้านบาท
    

*** 2.อนุมัติงบประมาณ 5,282 ล้านบาท เพื่อก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมถนน และพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับความเสียหายจากสาธารณภัย หรือเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชน 69 จังหวัด จำนวน 2,086 โครงการ เพื่อเร่งฟื้นฟูสิ่งก่อสร้าง ถนนและพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ อปท.ให้กลับมาใช้งานปกติโดยเร็ว


*** ส่วนข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ใช้งบประมาณอุดหนุนค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) 8,000 ล้านบาท งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2565 ได้หารือนอกรอบระหว่าง กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย และ สำนักงบประมาณ โดยวงเงิน 8,000 ล้านบาท ไม่สามารถใช้งบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วนปี 2565 ได้เพราะเหลือประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยมีคำขอใช้งบประมาณมาแล้ว 5,000 ล้านบาท ขณะที่งบกลางต้องกันไว้กรณีเกิดภัยพิบัติเร่งด่วน ... เป็นอันว่าที่จะช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนเกี่ยวกับ “ค่าไฟแพง” ก็ต้องพับแผนไปก่อน 


*** หันไปดูปัญหาที่น่าเป็นห่วงสำหรับ “เด็กวัยรุ่นไทย” ล่าสุด นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า จากรายงานการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบและบริการสนับสนุนทางจิตใจและจิตสังคมสำหรับเด็กและวัยรุ่นในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกฉบับประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดยยูนิเซฟ กรมสุขภาพจิต สถาบันวิจัยประชากรและสังคม และสถาบันเบอร์เน็ต ประเทศออสเตรเลีย พบว่า วัยรุ่นไทยอายุ 10-19 ปี ประมาณ 1 ใน 7 คน และเด็กไทยอายุ 5-9 ปี ประมาณ 1 ใน 14 คน มีความผิดปกติทางจิตประสาทและอารมณ์ สอดคล้องกับผลการสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนทั่วโลกในส่วนของประเทศไทย เมื่อปี 2564 พบว่า 17.6 % ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี มีความคิดที่จะ “ฆ่าตัวตาย” ซึ่งการฆ่าตัวตายคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย จึงเป็นข้อบ่งชี้ที่สำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยต้องกำหนดวิสัยทัศน์และแผนงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตและป้องกันการฆ่าตัวตายของเด็กและวัยรุ่นที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ 


*** *** คยองซอน คิม ผอ.องค์การยูนิเซฟประเทศไทย ระบุว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เด็กและวัยรุ่นหลายล้านคนในประเทศไทยกำลังได้รับผลกระทบจากปัญหาสุขภาพจิต ทั้งโรคเครียด โรควิตกกังวล และโรคซึมเศร้า ซึ่งเกิดจากปัจจัยมากมาย เช่น ความรุนแรง การถูกกลั่นแกล้ง ความโดดเดี่ยว ความไม่แน่นอน รวมทั้งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่น่าเสียดายที่ปัญหาดังกล่าวมักถูกบดบังเอาไว้ เนื่องจากการตีตราทางสังคม และการเข้าไม่ถึงข้อมูล การคัดกรอง การสนับสนุน ตลอดจนบริการด้านสุขภาพจิตที่เหมาะสม ซึ่งปัญหาสุขภาพจิตอาจก่อผลกระทบรุนแรงในระยะยาวต่อสุขภาพ การเรียนรู้ และการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน รวมทั้งเป็นการจำกัดความสามารถของพวกเขาในการพัฒนาตัวเองอย่างเต็มศักยภาพ”


*** จะว่าไปแล้วไม่ใช่เฉพาะ “เด็กและวัยรุ่น” เท่านั้นที่มีปัญหา ในหมู่คน “วัยทำงาน” ก็มีปัญหาด้านสุขภาพเช่นเดียวกัน โดย นพ.มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย ออกมาระบุว่า ในสังคม “ยุคดิจิทัล” ที่แต่ละวันกลุ่มคนวัยทำงานต้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เป็นเวลานานติดต่อกัน อาจทำให้ได้รับผลกระทบ เช่น ภาวะตาล้า ตาแห้ง ตาพร่า น้ำตาไหล หรือ ร้ายแรงกว่านั้น อาจเสี่ยงกับโรคจอประสาทตาเสื่อม โดยเฉพาะผู้ที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานวันละ 10 ชั่วโมง 


ดังนั้น จึงควรดูแลรักษาและใช้สายตาให้เหมาะสม โดยหยุดพักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ ทุก 2 ชั่วโมง ครั้งละประมาณ 15 นาที นอกจากนี้ ควรกินอาหารที่ดี มีประโยชน์ และอุดมไปด้วยสารอาหาร ที่ช่วยบำรุงสุขภาพตา เช่น กิน ผัก ผลไม้หลากสี โดยเฉพาะผักใบเขียวที่อุดมด้วยวิตามินเอ รวมถึงกิน ปลาทะเล โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน เพราะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 มีส่วนช่วยบำรุงสมอง และจอประสาทตา...