เบลอ วูบ บ่อย...เสี่ยงโรคลมชักแบบไม่ทันตั้งตัว

11 พ.ย. 2562 | 05:40 น.

สถิติของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคลมชัก หรือ ลมบ้าหมู ประเภทที่ไม่มีอาการชักเกร็งมากถึง 650,000 คน แต่ได้รับการรักษาน้อยเพียง 1 ใน 10 ของประชากรทั้งประเทศ ถือว่าโรคนี้กำลังเป็นภัยเงียบที่เกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งมีอาการเบลอ เหม่อลอย ตาค้าง วูบบ่อย โดยอาการเหล่านี้ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมชักหรือลมบ้าหมูแบบไม่ทันตั้งตัวได้ หากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้มีอาการลักษณะนี้บ่อยๆ อาจส่งผลให้เป็นโรคสมองเสื่อมไวและส่งผลให้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชซํ้าซ้อนตามมาได้ถึง 30%

เบลอ วูบ บ่อย...เสี่ยงโรคลมชักแบบไม่ทันตั้งตัว

มาฟัง “พญ.รับพร ทักษิณวราจาร” แพทย์ด้านสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพระรามเก้าบอกว่า โรคลมชัก หรือ Epilepsy หรือที่คนไทยเรียกว่า ลมบ้าหมู จัดเป็นโรคของการเจ็บป่วยทางสมอง พบได้ทุกเพศทุกวัย นอกจากพบในผู้ป่วยที่บกพร่องทางสติปัญญาโรคออทิสติกแล้ว ยังสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนที่มีร่างกายแข็งแรงได้อีกด้วย สาเหตุหลักนั้นเกิดจากเซลล์สมองที่มีนับล้านเซลล์ที่ทำงานเชื่อมโยงกันเหมือนวงจรไฟฟ้าและปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาผิดปกติพร้อมกัอย่างเฉียบพลัน  จึงส่งผลให้การควบคุมการทำงานของสมองเสียไปชั่วขณะ 

ซึ่งโรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากกรรมพันธุ์ ติดเชื้อในสมอง สมองขาดออกซิเจน ดื่มสุรา อุบัติเหตุทำให้เกิดแผลเป็นในสมอง หรือเซลล์สมองอยู่ผิดที่ หรือมีเนื้องอกในสมอง โดยสถิติทั่วโลก มักพบผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 50 ล้านคน โดย 2 ใน 3 อยู่ในทวีปเอเชีย ส่วนในประเทศไทยคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ 1% หรือประมาณ 650,000 คนทั่วประเทศ  แต่สถิติการเข้ารับการรักษาพบว่ามีน้อยมาก ประมาณ 10% 

โดยข้อมูลในปี 2558 มีผู้เข้ารับการรักษาจำนวน 79,385 คน เป็นชาย 49,100 คน หญิง 30,285 คน โดยอาการของโรคลมชัก แบ่งเป็น 2 ลักษณะอาการ คือ 1. อาการชักกระตุกเกร็งไปทั้งตัวคล้ายกับลมบ้าหมู ลักษณะการชักแบบนี้จะเห็นได้ชัดเจน คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยและรู้จักว่าโรคลมบ้าหมู  2. อยู่ดี ๆ ก็มีอาการแบบเบลอๆ เหม่อลอย ไม่รู้สึกตัวหรือที่เรียกว่า “อาการวูบไปชั่วขณะ” อาจมีตาค้างหรือตาเหลือกด้วยก็ได้ ส่วนมากมักพบในเด็กอายุ 6-14 ปี อาการของโรคลมชักชนิดนี้ คนไทยยังรู้จักน้อยมาก และมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นอาการวูบหรือเป็นลมทั่วไป จึงไม่ไปรับการรักษาอย่างทันท่วงที

เบลอ วูบ บ่อย...เสี่ยงโรคลมชักแบบไม่ทันตั้งตัว

ดังนั้น หากมีอาการใน 2 ลักษณะนี้ อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของการชักให้เร็วที่สุดและให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น หากอาการชักเกิดจากคลื่นสมองผิดปกติทั่วไป จะให้การรักษาด้วยยา เพื่อควบคุมอาการชัก โดยปรับกระแสไฟฟ้าในสมองให้กลับมาทำงานเป็นปกติ ป้องกันเซลล์สมองถูกทำลาย หากเกิดจากเนื้องอกในสมอง อาจใช้วิธีการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก แต่หากผู้ที่มีอาการชักได้รับการรักษาเร็ว โดยเฉพาะหลังจากมีอาการครั้งแรก จะมีโอกาสหายขาดได้สูง และสามารถกลับมาเรียนหนังสือ หรือทำงานได้

แต่หากไม่ได้รับการรักษาก็จะมีอาการชักบ่อย บางรายอาจเกิดเป็นชุดๆ หรือเกิดตลอดวันก็ได้ จะมีผลเสียที่เป็นอันตรายต่อชีวิต โดยเฉพาะการชักแบบลมบ้าหมู อาจทำให้เซลล์สมองตาย และทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ 30% ส่งผลทำให้เกิดโรคทางจิตเวชตามมาได้ ซึ่งถือเป็นภัยเงียบแบบไม่ทันตั้งตัว การรักษาโรคลมชัก ผู้ป่วยจะต้องยึดหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือ การรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุดยาเอง และไม่ลดจำนวนยาเอง ต้องใช้เวลารักษาไม่ตํ่ากว่า 2 ปี จึงจะควบคุมอาการชักที่ได้ผลดี โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาปรับลดหรือหยุดยาให้เอง โดยผู้ป่วยประมาณกว่า 70% จะมีโอกาสหายขาดได้ ส่วนอีก 30% มีอาการดีขึ้น แม้ไม่หายชักทั้งหมดก็ตาม  ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก จะมีความเสี่ยงเสียชีวิตได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป 2-3 เท่า

หน้า 24 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,521 วันที่ 10 -13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เบลอ วูบ บ่อย...เสี่ยงโรคลมชักแบบไม่ทันตั้งตัว