ไทยคว้าเบอร์หนึ่งครองส่วนแบ่งตลาด IPO สูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี 2563

01 ธ.ค. 2563 | 10:05 น.

ไทยคว้าเบอร์หนึ่งครองส่วนแบ่งตลาด IPO สูงสุดในภูมิภาคอาเซียนปี 2563 โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 15 พ.ย. ประเทศไทยมีบริษัทที่ทำ IPO จำนวนสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 23 ราย สามารถระดมทุนจากตลาด IPO ในปีนี้ได้เป็นวงเงินสูงถึง 3,940 ล้านดอลลาร์ ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 60% ของมูลค่าการทำ IPO ทั้งหมดในภูมิภาค

 

บริษัท ดีลอยท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบบัญชีและให้คำปรึกษาด้านการเงินเปิดเผยวันนี้ (1 ธ.ค.) ว่า ประเทศไทยครองส่วนแบ่งตลาดในการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปีนี้ (2563) โดยไทยมีมูลค่าการทำ IPO คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของมูลค่าการทำ IPO ทั้งหมดในภูมิภาค

 

ข้อมูลของดีลอยท์ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงวันที่ 15 พ.ย. ประเทศไทยมีบริษัทที่ทำ IPO จำนวนสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 23 ราย ซึ่งแม้ว่าลดลงจาก 34 รายของทั้งปี 2562 แต่จนถึงขณะนี้ ไทยสามารถระดมทุนจากตลาด IPO ในปีนี้ได้เป็นวงเงินสูงถึง 3,940 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าระดับ 3,000 ล้านดอลลาร์ของปีที่แล้ว (2562)

 

ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวได้จากการที่ดีลอยท์ทำการศึกษาแนวโน้มของตลาด IPO ใน 6 ตลาดหุ้นที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม

 

รายงานของดีลอยท์ระบุว่า บริษัทจดทะเบียนใหม่จำนวน 100 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น สามารถระดมทุนได้ 6,440 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงวันที่ 15 พ.ย. อย่างไรก็ดี ทั้งจำนวนบริษัทที่เสนอขายหุ้นและจำนวนเงินที่ระดมทุนได้นั้น ยังน้อยกว่าในปีที่แล้วซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนใหม่จำนวน 161 แห่ง และระดมทุนได้ 7,340 ล้านดอลลาร์

 

ดีลอยท์ระบุว่า ไทยสามารถครองส่วนแบ่งตลาด IPO ได้สูงสุด แม้ว่าเศรษฐกิจไทยเป็น 1 ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ตาม

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

IPO ใหม่ระดมทุนสูงสุดในอาเซียน

IPOปัง หลังโควิด

เมื่อจีนสั่งสอน "แจ๊ก หม่า" ดับฝัน IPO แอ๊นท์กรุ๊ป

 

ทั้งนี้ ดีลอยท์ได้ทำการเปรียบเทียบระหว่างไทยและสิงคโปร์ โดยระบุว่า ไทยมีแนวโน้มแซงหน้าสิงคโปร์ขึ้นครองอันดับหนึ่งตลาด IPO ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกัน 2 ปีซ้อน โดยในปีนี้ สิงคโปร์มีบริษัทที่ทำ IPO เพียง 8 แห่ง และสามารถระดมทุนได้เพียง 852 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนใหม่ 11 แห่ง และสามารถระดมทุนได้ 2,260 ล้านดอลลาร์