บริษัท กิลเลียด ไซเอินเซส ระบุในแถลงการณ์ว่า ก่อนหน้านี้ สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ หรือ FDA ได้อนุมัติให้มีการใช้ยาดังกล่าวใน การรักษาโรคโควิด-19 ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น และในขณะนี้ ยา Veklury ถือเป็นยาตัวแรกและตัวเดียวที่ FDA อนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยโควิดได้ทั่วไปในสหรัฐอเมริกา
ยา Veklury สามารถใช้รักษาผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วสหรัฐ โดยใช้ได้กับผู้ใหญ่และเด็ก (อายุ 12 ปีขึ้นไป และมีน้ำหนักตัวอย่างน้อย 40 กิโลกรัม)
ทั้งนี้ ผลการทดลองทางคลินิกพบว่า ยา Veklury ช่วยให้ผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลฟื้นตัวเร็วขึ้น 5 วัน
เรมเดซิเวียร์ ซึ่งเป็นยาฉีดเข้าเส้นเลือดดำ เป็นหนึ่งในตัวยาที่ถูกนำมาใช้รักษาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างที่เขาติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อช่วงต้นเดือนต.ค.นี้
ยาดังกล่าวถูกนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ตั้งแต่เดือนพ.ค. ซึ่งตอนนั้นสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินตามโรงพยาบาลต่าง ๆเท่านั้น หลังผลการศึกษาหนึ่งที่จัดทำโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ(NIH)พบว่ามันช่วยลดระยะเวลาการรักษาตัวในโรงพยาบาล 5 วัน
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลก(WHO) ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จากการทดลองรักษาโควิด-19 ด้วยวิธีการต่าง ๆทั่วโลก พบว่า ยาเรมเดซิเวียร์ ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อระยะเวลาการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของคนไข้โควิด-19 หรือต่อโอกาสของการอยู่รอด แต่ผลการศึกษานี้ยังไม่ผ่านการทบทวนของบรรดาผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก
สำหรับประเด็นของ WHO นั้นกิลเลียดฯ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของความมีอคติในผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นการทดลองแบบ "ไม่อำพราง" นั่นหมายความว่าบรรดาอาสาสมัครและแพทย์ของพวกเขา ทราบว่าแต่ละคนนั้นได้รับการรักษาด้วยวิธีการใด
ทั้งนี้ ยาเรมเดซิเวียร์ ภายใต้ชื่อแบรนด์ Veklury ของบริษัท กิลเลียดฯ จะวางจำหน่ายและมีค่าใช้จ่ายตลอดการรักษา 5 วัน ที่ 3,120 ดอลลาร์(ราว 97,500บาท) หรือ 2,340 ดอลลาร์(ราว 73,000บาท) หากเป็นการจัดซื้อโดยหน่วยงานภาครัฐ เช่นกระทรวงการทหารผ่านศึก
บริษัทระบุว่า กำลังผลิตในตอนนี้มีเพียงพอรองรับความต้องการ (อุปสงค์) ณ ปัจจุบันสำหรับยาดังกล่าวในสหรัฐเท่านั้น แต่คาดหมายว่าจะสามารถยกระดับกำลังผลิตได้เพียงพอกับความต้องการจากทั่วโลกในช่วงสิ้นเดือนต.ค.นี้
กิลเลียดฯ ยังเผยด้วยว่า ขณะนี้ยาดังกล่าวได้รับอนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบหรือได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินชั่วคราว ในอีกราว 50 ประเทศทั่วโลก นอกเหนือจากสหรัฐฯ