นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงรายงานประจำวันที่ 7 เม.ย..63 ว่าพบผู้ติดเชื้อใหม่ 38 คน ยอดผู้ติดเชื้อรวม 2,258 คน ผู้ป่วยที่รักษาหาย 824 คน ซึ่งเป็นผลจากการประกาศพรก. ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ทำให้ตัวเลขทรงตัว มีแนวโน้มลดลงและยิ่งชัดเจน เมื่อมีการประกาศเคอร์ฟิว เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.เป็นต้นมา ซึ่งเป็นระยะฟักตัวใน 1สัปดาห์ นี่ คือผลของการอยู่บ้านทำให้ลดการแพร่กระจายเชื้อโรคลดน้อยลง และแนวโน้มไม่พุ่งสูงขึ้นก็พึงพอใจ มีผู้เสียชีวิต 27 ราย เพิ่มขึ้น 1 ราย เป็นชาย อายุ 54 ปี เสียชีวิตด้วยระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเมื่อ6 เม.ย. สิ่งที่น่าเป็นห่วงคืออายุไม่มากก็มีโอกาสเสียชีวิตได้ แสดงให้เห็นว่าทุกช่วงอายุมีความเสี่ยงทั้งหมด
"จำนวนผู้ติดเชื้อ 38 ราย มีคำอธิบายว่าดีขึ้นเพราะการประกาศ พ.ร.ก ฉุกเฉิน และการประกาศเคอร์ฟิว การควบคุมภายในประเทศตามพื้นที่ต่างๆ และคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงมีสถานที่รองรับที่ชัดเจน ทั้ง 3 ประเด็นเราทำกันอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อ 38 ราย ดีใจแล้วจะหยุดหรือเลิก ภาษามวยคือ การ์ดห้ามตก เพราะถ้าตกเมื่อไร ก็โดนต่อย โดนกระทุ้ง ทำให้ทรุดหรืออาจน็อกได้ ดังนั้น ต้องตรึงอย่างนี้ตลอดไป อีกทั้งประเทศอื่นๆ ในทั่วโลกก็ยังเป็นแหล่งรังโรค ที่มีคนที่เป็นผู้ติดเชื้อเป็นพาหะมาหาเราอยู่ ไม่ได้ให้รังเกียจ แต่ให้ระวังตัว สิ่งนี้ต้องยืนระยะให้ยาวๆ การมีเกราะป้องกัน ถ้าทุกคนร่วมมือกัน เราก็จะชนะ"
สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 38 รายแยกตามกลุ่มคือ 1 ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย 17 ราย ส่วนใหญ่ เป็นกทม. 11 ราย มีทั้งจากติดจากในบ้าน ที่ทำงานและกลุ่มเพื่อน 2. ผู้ป่วยที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้รวม 16 ราย แยกเป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 3 ราย ไปสถานที่ชุมนุมชน เช่นห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 3 ราย อาชีพเสี่ยง เช่นทำงานในสถานที่แออัด หรือทำงานใกล้ชิดสัมผัสชาวต่างชาติ 7 ราย เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ กทม.2ราย ชลบุรี กระบี่ และชาวต่างชาติทำอาชีพเสี่ยง ที่ภูเก็ต 3 ราย บุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข 3ราย และอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 5 ราย
จังหวัดที่รับรักษาผู้ป่วยยืนยันสะสมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19 ) จำนวน 2,258 คน ใน66 จังหวัด ข้อมูล ณ วันที่ 7เม.ย.. พบผู้ป่วยกรุงเทพมหานคร 1,201 ราย ภูเก็ต138 ราย นนทบุรี 134 รายสมุทรปราการ 99 ราย ชลบุรี 70 ราย
ผู้ป่วยรายใหม่ที่ติดเชื้อ จำนวน 38 คน แบ่งเป็น กรุงเทพมหานคร 25 ราย ชลบุรี 4 ราย ภูเก็ต 3 ราย กระบี่, ชุมพร, นครราชสีมา, นนทบุรี, พิษณุโลก, สุพรรณบุรี1 ราย กทม. แม้ว่าจำนวนจะลดลงแต่ยังถือว่ายังสูงอยู่ ต่างจังหวัดยังมีจำนวนที่น้อยกว่ากทม. จึงจำเป็นต้องช่วยกันเมื่อมีความร่วมมือน้อยลงผู้บริหารคงต้องหามาตรการอื่น อยากจะขอให้ช่วยกันลดตัวเลขให้ลดน้อยลงจะได้กลับมามีชีวิตที่ปกติ
สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก ผู้ติดเชื้อรวม 1,343,275 ราย รักษาหายแล้ว 278,210 ราย เสียชีวิตรวม 74,612 ราย อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 1. สหรัฐอเมริกา จำนวน 364,716 ราย ผู้ป่วยเพิ่ม 28,389 ราย เสียชีวิตรวม 10,846 ราย 2. สเปน จำนวน 136,675 ราย ผู้ป่วยเพิ่ม 5,029 ราย เสียชีวิตรวม 13,341 ราย 3. อิตาลี จำนวน 132,547 ราย ผู้ป่วยเพิ่ม 3,599 ราย เสียชีวิตรวม 16,523 ราย 4. เยอรมัน จำนวน 103,374 ราย ผู้ป่วยเพิ่ม 3,251 ราย เสียชีวิตรวม 1,810 ราย 5. ฝรั่งเศส จำนวน 98,010 ราย ผู้ป่วยเพิ่ม 5,171 ราย เสียชีวิตรวม 8,911 ราย
ในไทยหากแบ่งจำนวนผู้ป่วยเป็นรายภาค กทม.และนนทบุรียังคงมียอดสูงสุด ภาคใต้มียอดลดลง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มลดน้อยลง แต่ขอให้ระวังในรายภาคเพราะยังคงมีการเดินทางอยู่ในไทย ถ้าจำแนกตามปัจจัยเสี่ยง จำแนกตามรายสัปดาห์ คือ กลุ่มสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ รวม 682 มีแนวโน้มลดลง คือจาก 63 มาเป็น 212 มาที่ 317 และเหลือ 83 ดังนั้นยังคงต้องรักษาระยะห่าง2 เมตร และใช้หน้ากากอนามัยแม้จะอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน โดยยอดของสนามมวยเริ่มลดลง ขณะเดียวกันกลุ่มคนไทยที่มาจากต่างประเทศยังมีความเสี่ยงที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น จึงต้องประกาศเรื่องการเดินทางเข้าไทย ที่ต้องเข้มงวดมากขึ้น เพราะมีการเคลื่อนย้ายของคนไทยจากยุโรปและอาเซียนเดินทางข้ามผ่านแดน โดยเฉพาะแนวชายแดนยังมีเพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่น มาเลเซีย ซึ่งต้องช่วยกันดูแล
ในต่างประเทศ จำนวนผู้ป่วยใหม่อย่างสหรัฐเอมริกาเริ่มลดลง กลุ่มประเทศยุโรปมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย ส่วนในอาเซียนผู้ป่วยใหม่ยังคงที่ ส่วนประเทศที่ยังคงมีความกังวลใจคือประเทศอินเดียที่ยังคงมีจำนวนที่สูงมาก
มาพิจารณาถึงมาตรการเคอร์ฟิวตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.. ถึงวันที่7 เม.ย.. ส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือดี แต่พบว่าวันที่7 เม.ย..มีจำนวน1,217 ราย รวมกลุ่มชุมนุมหรือมั่วสุม 76 ราย รวมยอดสะสม 1,293 ราย ผลการดำเนินการ ตักเตือน 246 รายและดำเนินคดี 1,047 ราย ถ้าให้ความร่วมมือก็คงไม่มีมาตรการเข้มแต่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือตัวเลขยังคงเพิ่มขึ้นก็คงมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้น
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องคงมาตรการไว้ และต้องดูแลคนไทยที่เดินทางเข้ามาในไทย อย่างเช่น 158 ราย การดำเนินการของสนามบินที่ไม่ให้เครื่องบินโดยสารเข้าประเทศถึง วันที่6 เม.ย.. ก็มีการขยายออกไปเป็นวันที่ 7-18 เม.ย.. แม้จะได้รับผลกระทบกันทั่วไป ทางสถาบันการบินพลเรือน(สบพ.) อยู่ระหว่างการเร่งแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะผู้ที่ติดค้างอยู่ที่สนามบินทั้งในอาเซียนและยุโรป ที่ญี่ปุ่นจำนวน 15 ราย เกาหลี 10 ราย เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักรประเทศละ1 ราย และกาตาร์ 14 ราย ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ดูแล
วิธีการคือวันที่ 7 เม.ย.เวลา 20.00น. จะมีเครื่องบินจากประเทศฝรั่งเศสมารับคนชาติฝรั่งเศส และจะมีคนไทย 14 ราย จะเดินทางมาและลงที่จังหวัดภูเก็ต เวลา 21.45 น.คนไทยที่ตกค้างจากประเทศสหรัฐอเมริกา 60 รายมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ และวันที่ 8 เม.ย.เวลา 15.30น. คาดว่ามาจากประเทศญี่ปุ่นกลับมา 22 คน ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ปัญหาคือการเดินทางออกจากกลางเดือนมี.ค. จำนวน 37,203 ราย ลดลงเหลือ 1,965 ราย คนต่างชาติลดลงจำนวนมาก และผู้ที่เดินทางเข้ามาส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มี Workpermit ในการทำงานที่ไทย เหลือเพียง 175 ราย
ส่วนผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยช่วงนี้ ทางไทยต้องเตรียมพร้อม ต้องจัดหาพื้นที่สำหรับ State Quarantine การกักตัวให้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม บ้าน อพาร์ตเมนต์ ที่เหมาะสม และสามารถอยู่ได้ที่ภาครัฐต้องจัดเตรียมให้ ส่วนจำนวนผู้ที่จะออกจากราชอาณาจักรก็จะมีจำนวนลดน้อยลงเรื่อยๆ