เพียง 10 วันหลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในรัสเซียแตะหลักร้อย ไม่ทันไรก็ก้าวข้ามเส้นหลักพันมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
จากที่เคย “ชิว” กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากกันคนจากประเทศที่มีการระบาดหนักในเอเชียไปแต่เนิ่นๆ ตอนนี้รัฐบาลแทบนั่งไม่ติด อัพเดทสถานการณ์และมาตรการที่หนักข้อขึ้นเป็นรายวันจนประชาชนแทบตามไม่ทัน
ตั้งแต่ต้นสัปดาห์รัฐบาลเริ่มทยอยยกเลิกเส้นทางบินทั่วประเทศที่จะเดินไปประเทศที่มีการแพร่ระบาดรวมถึงไทย แต่ยังเปิดช่องทางเล็กๆ จากกรุงมอสโกแง้มให้ไปรับพลเมืองกลับบ้านได้อยู่ ก่อนที่สายการบินจะเริ่มทยอยกันยกเลิกไฟลท์ จนมาสู่การติดสินใจระงับทุกเที่ยวบินเข้าออกอย่างสายฟ้าแลปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตัดช่องทางการนำเชื้อเข้ามาจากภายนอกอย่างเด็ดขาด จนนักท่องเที่ยวที่ยังติดค้างอยู่ในประเทศแทบจะเก็บกระเป๋าเปลี่ยนตั๋วกลับบ้านไม่ทัน
สำหรับคนทำงานต้องร้องเฮ เนื่องจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินตัดสินใจออกประกาศอย่างด่วนที่สุดเพิ่มวันหยุดราชการ 1 สัปดาห์ไปจนถึงวันที่ 5 เมษายน ให้หยุดงานทั่วทั้งประเทศ โดยทุกคนจะยังได้รับเงินเดือนตามปกติ หวังลดการเดินทางการของประชาชนช่วยชะลอการแพร่กระจายของไวรัสอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนข้าราชการหน่วยงานต่างๆ ให้เปลี่ยนมาทำงานจากบ้านแทน ขนาดตัวนายปูตินเองยังต้องเปลี่ยนจากการเจรจาสำคัญระดับชาติกับกลุ่ม G20 มาเป็นการพูดคุยทางออนไลน์ ต่อรองขอผ่อนผันมาตรการคว่ำบาตรชั่วคราว กู้สภาพเศรษฐกิจในภาวะวิกฤติ
นอกจากนี้ยังประกาศขยายผลไปทั่วประเทศ ปิดห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สวนสาธารณะ โรงละคร ทั่วประเทศ เหลือไว้เพียงแต่ร้านอาหารและร้านขายยาเช่นเดียวกับบ้านเรา หลังจากที่ก่อนหน้านี้บังคับใช้แค่ในพื้นที่เมืองหลวงเท่านั้น
งานนี้ผู้นำรัสเซียถึงขั้นแถลงการณ์ออกปากผ่านหน้าจอทีวีเมื่อกลางสัปดาห์ ฝากถึงประชาชนชาวรัสเซียทุกคนให้ช่วยกันแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ย้ำให้หยุดคิดว่า “ฉันไม่มีทางติดเชื้อไวรัส” เปลี่ยนเป็นคิดว่า “ไม่ว่าใครก็ติดเชื้อได้” โดยนายปูตินเชื่อว่าสถานการณ์จะสงบได้ในอีก 2-3 เดือน แต่ลึกๆ ยังแอบหวังว่าจะจบงานได้เร็วกว่านั้น
สถานการณ์ในรัสเซีย มอสโกถือเป็นจุดที่น่าเป็นห่วงที่สุด เนื่องจากในจำนวนยอดผู้ติดเชื้อพันกว่าคนนี้ กระจุกอยู่ในเมืองหลวงมากกว่า 60% ซึ่งทางการมอสโกกำลังเร่งก่อสร้างสถานพยาบาลชั่วคราวนอกตัวเมืองแบบเดียวกับในอู่ฮั่นของจีนเผื่อในกรณีที่โรงพยาบาลที่มีอยู่รับผู้ป่วยได้ไม่เพียงพอ แต่คาดการณ์กันว่าภายในต้นเดือนเมษายน หรือช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์หลังจากนี้ สถิติผู้ติดเชื้อในมอสโกจะไปถึงจุดพีค และค่อยซาลงในไม่ช้า
ที่ผ่านมา รัสเซียพยายามรณรงค์ให้คนอยู่ในบ้าน รวมทั้งสั่งให้ประชาชนอายุมากกว่า 65 ปีแยกตัวอยู่คนเดียวในบ้าน ไม่ออกไปข้างนอก แต่ดูเหมือนว่าไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นัก ยังมีผู้คนออกมาใช้ชีวิตตามปกติ ไปเดินเล่น กินดื่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงต้องเริ่มเร่งพิจารณา “ยาแรง” ตั้งโทษแก่คนที่ฝ่าฝืนมาตรการการกักตัว ใครไม่ทำตามและแพร่เชื้อจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิตอาจต้องโทษปรับ 150,000-300,000 รูเบิล (ราว 75,000-150,000 บาท) ในกรณีที่เป็นนิติบุคคลอาจคาดโทษสูงสุดอยู่ที่ 1 ล้านรูเบิลหรือราว 5 แสนบาทเลยทีเดียว
ทั้งปิดประเทศ ทั้งลดทุกเงื่อนไขให้ประชาชนอยู่บ้านหมดหน้าตัก แต่ยังไม่คาดเดาไม่ได้ว่าจะมีผลจริงจังมากน้อยแค่ไหน เพราะจนถึงตอนนี้ชาวรัสเซียยังนั่งเครื่องบินเดินทางข้ามเมืองทั่วประเทศได้เป็นปกติ ส่วนเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ยังขาดความเคร่งคัดรัดกุมอย่างจริงจัง ยิ่งในเมืองที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อยิ่งนิ่งนอนใจ ใช้ชีวิตเหมือนทุกวันเพราะไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว
หลังกล้องไซบีเรีย
เรื่อง: ยลรดี ธุววงศ์ ภาพ: Kremlin.ru
** พบกับ คอลัมน์ “หลังกล้องไซบีเรีย” ทุกวันอาทิตย์ ทุกช่องทางออนไลน์ของ “ฐานเศรษฐกิจ" **
Bio นักเขียน : “ยลรดี ธุววงศ์” อดีตนักข่าวที่ผ่านสนามข่าวทั้งในและต่างประเทศ จากสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ และ Spring News ปัจจุบันเป็นนิสิตปริญญาโทอยู่ในส่วนที่หนาวเย็นที่สุดของประเทศรัสเซีย