วันที่ 25 มีนาคม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างในการแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) หรือ ทีวีพูล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร วันที่ 26 มีนาคม – 26 เมษายน 2563 ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พรก. เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา
โดยหนึ่งในนั้นมีการยกระดับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ขึ้นมาเป็นหน่วยงานพิเศษ ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำกวยการศูนย์ พร้อมกับแต่งตั้งผู้รับผิดชอบแต่ละด้าน โดยคําสั่งดังกล่าวลงนาม โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ระบุว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2563 เรื่อง แต่งตั้งผู้กํากับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่ วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 แล้ว นั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 7 วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคหก และมาตรา 15 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นายกรัฐมนตรีจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ 1 นายกรัฐมนตรีเป็นผู้กํากับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉิน พนักงานเจ้าหน้าที่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานตามประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉิน
ข้อ 2 ให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ช่วยผู้กํากับการปฏิบัติงานของนายกรัฐมนตรีเรียง ตามลําดับการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีตามที่มีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรีไว้แล้ว และให้ปฏิบัติภารกิจ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อ 3 (1) ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
(๒) ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
(๓) ให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมสินค้า
(๔) ให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการต่างประเทศ และการคุ้มครองช่วยเหลือผู้มีสัญชาติไทยในต่างประเทศ
(๕) ให้ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์
(๖) ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง
(๗) ให้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการ คณะรัฐมนตรี และปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานทั่วไป
ข้อ 4 ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตามข้อ 3 มีหน้าที่และ อํานาจในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตามที่กําหนดไว้ในพระราชกําหนดการบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2554 ในส่วนที่รับผิดขอบ และให้มีหน้าที่และอํานาจดังต่อไปนี้
(1) บังคับบัญชาและสั่งการส่วนราชการและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกําหนดเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการป้องกัน และแก้ไขปัญหาโควิด-19 ในส่วนที่รับผิดชอบ (๒) ดําเนินการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ในกรณีมีปัญหาคาบเกี่ยวกับความรับผิดชอบของแต่ละส่วนหรือปัญหาในการปฏิบัติ ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือผู้ประสานงานทั่วไปหารือกันเองหรือ รายงานเพื่อให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว
ข้อ 5 ให้ข้าราชการตํารวจ ข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือน ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติ หน้าที่หรือได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในเขตท้องที่ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีหน้าที่และอํานาจดําเนินการตามพระราชกําหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ตลอดจนข้อกําหนด ประกาศ และคําสั่งที่ออกตามพระราช กําหนดดังกล่าว และเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายที่โอนมาเป็นหน้าที่และอํานาจของ นายกรัฐมนตรี เว้นแต่นายกรัฐมนตรีจะสั่งเป็นอย่างอื่น การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบใน การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายกําหนด
ข้อ 6 ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและพนักงานเจ้าหน้าที่เป็น เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และมีหน้าที่และอํานาจเช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เว้นแต่การใช้อํานาจสอบสวนต้องเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็น ข้าราชการตํารวจซึ่งมียศตั้งแต่ร้อยตํารวจตรีขึ้นไป ข้าราชการทหารซึ่งมียศตั้งแต่ร้อยตรี เรือตรี และเรืออากาศตรี ขึ้นไป หรือข้าราชการฝ่ายพลเรือนซึ่งดํารงตําแหน่งตั้งแต่ระดับปฏิบัติการขึ้นไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ส่วนประวัติคร่าวๆ ของทีมฉุกเฉิน หรือ หัวหน้าผู้รับผิดชอบแต่ละด้านที่พลเอกประยุทธ์ เลือกมาปฏิบัติภารกิจนี้
เริ่มตั้งแต่ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ “ด้านสาธารณสุข” ซึ่งนายสุขุม เป็นอดีตอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มาทำหน้าที่บัญชาการ จัดการดูแลเกี่ยวกับการควบคุมโรค สกัดการระบาดของโรค การรักษาพยาบาล การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งหมด
หัวหน้าผู้รับผิดชอบด้านการต่างประเทศได้แก่ “นางบุษยา มาทแล็ง” ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นอดีตอธิบดี กรมยุโรป อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ เป็นผู้มีอำนาจในการชี้แจง แก้ปัญหาในเรื่องการต่างประเทศ และการท่องเที่ยว
หัวหน้าผู้รับผิดชอบด้านการแก้ไขการควบคุมสินค้าและเวชภัณฑ์ ได้แก่ “นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร” ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นอดีตอธิบดีกรมการค้าภายใน อดีตอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ อดีตเอกอัครราชทูตคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส มีหน้าที่ทำหน้าที่ในการดูแลเรื่องสินค้าอุปโภค บริโภคทั้งหมเ รวมทั้งยา เวชภัณฑ์ หน้ากากอนามัย ที่ต้องควบคุมไม่ให้กระทบประชาชนและกระทบกับการคุมระบาด
หัวหน้าผู้รับผิดชอบด้านทางปกครอง ได้แก่ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือ บิ๊กฉิ่ง อดีตรองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี อดีตอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทำหน้าที่บัญชาการ การควบคุมการระบาดและการกักตัวผู้คนในแต่ละพื้นที่ ผ่านกลไกของฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการประสานผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด
นางอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมคนปัจจุบัน อดีตเป็นประธานคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ กรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย thailand 4.0 และ อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ภารกิจที่ได้รับมอบหมายคือ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ หรือ จัดการกับปัญหา ข่าวปลอม หรือ Fakenews
และคนสุดท้าย พลเอกพรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือ บิ๊กกบ เป็นกรรมการในศูนย์อำนวยการการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โควิด-19 อยู่แล้ว อดีตสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาทำหน้าที่ด้านประสานการจัดการด้านกำลังพลทั้งตำรวจ-ทหาร ในการเข้าไปดูแลทุกข์สุขและการจัดการแบบเคลื่อนที่เร็วในการสู้รบปรบมือกับการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19