ดร.นพ.พลวัฒน์ ติ่งเพ็ชร สาขาวิชาจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา สถานวิทยาศาสตร์พรีคลินิก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) บรรยายถึงไวรัสไวรัสโคโรนา(COVID-19) ในกิจกรรมการบรรยายหัวข้อ COVID-19 (Coronavirus Disease 2019) เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา จัโดยสภาอาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ มธ. ท่ามกลางผู้เข้าร่วมกว่า 50 ราย
นพ.พลวัฒน์ กล่าวอ้างอิงจากงานวิจัยในหลายประเทศ โดยระบุว่า ทุกวันนี้ระยะฟักตัวของไวรัสโคโรนายังอยู่ที่ 14 วัน ตามข้อมูลที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การรับรอง ส่วนตัวเลข 24 วันที่มีการพูดถึงกันนั้น WHO แสดงความคิดเห็นว่า มีความเป็นไปได้ว่าเกิดจากมีผู้ที่ได้รับเชื้อซ้ำ สำหรับการติดต่อจากคนสู่คน ไวรัสนี้สามารถติดต่อได้ในระยะน้อยกว่า 2 เมตร เรียกว่าติดต่อผ่านทางละอองฝอย แต่เนื่องจากโรคนี้คือ SARS-CoV-2 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับ SARS-CoV ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการแพร่ระบาดได้มากกว่าทางละอองฝอย แต่ข้อมูล ณ ปัจจุบันยังอยู่ที่ละอองฝอยเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังพบว่าเชื้อดังกล่าวยังมีอยู่ในอุจจาระด้วย ฉะนั้นวิธีการป้องกันคือ 1. อย่าอยู่ใกล้กับผู้ป่วย ถ้าอยู่ใกล้กันจำเป็นต้องใส่หน้ากาก 2. ล้างมือก่อนสัมผัสอาหาร หรือสัมผัสส่วนต่างๆ ของร่างกายตัวเอง 3. ปิดฝาก่อนกดชักโครก
ดร.นพ.พลวัฒน์ กล่าวว่า แม้ว่า SARS-CoV-2 หรือ ไวรัส COVID-19 จะเป็นไวรัสที่มีเปลือกหุ้ม ซึ่งตามทฤษฎีจัดว่าอ่อนแอ แต่กลับพบว่ามีความสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานและไม่ตายง่ายๆ โดยผลการศึกษาพบว่า ในอากาศ 20 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 50% เชื้อมีอายุได้ถึง 6 วัน หรือจากการทดลองพบว่าเชื้ออยู่บนพลาสติกได้ 9 วัน และอยู่ในเสื้อกาวน์ได้ถึง 2 วัน
“จากการทดลองในต่างประเทศ พบว่าต้องใช้แอลกอฮอล์เข้มข้นเกิน 70% เชื้อถึงจะตาย ขณะที่เอทานอล (Ethanol) ต้องมีความเข้มข้น 70-95% เชื้อถึงจะตาย ฉะนั้นต้องกลับไปดูเจลล้างมือที่เราใช้ว่าเอทานอลเข้มข้นเท่าใด ถ้าเพียงแค่ 50% หรือ 65% คงไม่พอ เชื้อไม่ตาย ส่วนตัวผมใช้วิธีพกแฮลกอฮอล์ขวดเล็กๆ ติดตัวตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยได้มาก” ดร.นพ.พลวัฒน์ กล่าว
พญ.พาณิภัค กตเวทิวงศ์ หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มธ. กล่าวถึงอาการและแนวทางการรับมือ การรักษา และการป้องกัน COVID-19 ว่า ผู้ที่ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยคือ 1. ผู้ที่ป่วย 2. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย 3. ผู้ที่เดินทางไปในแหล่งชุมชนหรือพื้นที่ที่มีความแออัด โดยหน้ากากที่แนะนำคือหน้ากากอนามัย
อย่างไรก็ตาม การสวมใส่หน้ากากอนามัยต้องสวมและถอดอย่างถูกวิธี ไม่เช่นนั้นประสิทธิภาพในการป้องกันจะไม่ดีเท่าที่ควร โดยก่อนใส่ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง จับตรงหูด้านข้าง หันฝั่งสีเข้มออกด้านนอก บีบลวดตรงจมูก และคลุมให้ถึงคาง
“หน้ากากฝั่งสีเข้มคือฝั่งที่จะสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรง ฉะนั้นเมื่อสวมใส่หน้ากากไปแล้ว ไม่ควรนำมือไปสัมผัสฝั่งสีเข้มอีกเป็นอันขาด โดยเฉพาะตอนถอด หากเราไปสัมผัสจะทำให้มีการปนเปื้อนเชื้อ” พญ.พาณิภัค กล่าว
พญ.พาณิภัค กล่าวอีกว่า อาการที่สามารถสังเกตได้ในชีวิตประจำวัน คือไข้ ไอ เหนื่อย ร่วมกับประวัติที่น่าสงสัย เช่น เดินทางมาจากพื้นที่การระบาด หรือสัมผัสกับผู้ที่มีความเสี่ยง ก็ควรมาพบแพทย์ ซึ่งจากสถิติพบว่าผู้ป่วย 1 คน มีโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นเฉลี่ยแล้ว 2 ราย โดยระยะการแพร่เชื้อผ่านทางละอองฝอยในสภาวะปกติจะอยู่ที่ 6 ฟุต หรือระยะ 2 เมตร
สำหรับคำแนะนำ ได้แก่ 1. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นแหล่งระบาดของโรคตามประกาศ 2. หากไปมาแล้วและเพิ่งเดินทางกลับมา ควรหยุดอยู่บ้าน แยกของใช้ และวัดไข้วันละ 2 ครั้ง หากเกิดไข้ ไอ เหนื่อย ให้รีบไปพบแพทย์
“อยากให้ประชาชนติดตามสถานการณ์และประกาศอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม เนื่องจากสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต” พญ.พาณิภัค กล่าว