ถ้าหากข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ตกลงใจจะลงนามทำข้อตกลงการค้าเฟสแรก ที่เรียกกันว่า ข้อตกลงการค้าเฟส1 (Phase One trade deal) กับจีนเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ สหรัฐฯก็จะระงับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ที่เดิมจะเก็บเพิ่มในอัตรา 15% คิดเป็นวงเงินเกือบๆ 160,000 ล้านดอลลาร์ กำหนดมีผลในวันที่ 15 ธ.ค.นี้
สินค้าที่จะได้รับอานิสงส์ รอดพ้นจากการถูกเก็บภาษีเพิ่มตามกำหนดดังกล่าว เป็นสินค้าใน บัญชี 4B ของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) ซึ่งครอบคลุมถึงโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์แลปท็อป ของเด็กเล่น และเสื้อผ้า
ก่อนหน้านี้ขณะที่ยังไม่มีข่าวดีจากโต๊ะเจรจาและกำหนดการจัดเก็บภาษีในอัตราเพิ่มก็ใกล้เข้ามาทุกที นายสตีฟ ปาเซียร์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมของเด็กเล่นแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์ขอให้รัฐบาลสหรัฐฯพิจารณาทบทวนมาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีน โดยเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า รัฐบาลจำเป็นต้องหยุดใช้ประชาชน บริษัท และตำแหน่งงานของคนอเมริกัน ซึ่งมีจำนวนถึง 700,000 ตำแหน่ง เป็นตัวหมากตัวเบี้ยในกระดานการประลองศึกการค้ากับจีน
นักวิเคราะห์กล่าวว่านี่เป็นข่าวดีสำหรับเทศกาลการจับจ่ายใช้สอยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงคริสต์มาส และส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพราะสินค้าส่วนใหญ่ที่ได้รับอานิสงส์ ไม่ต้องถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราเพิ่ม 15% นั้น เป็นสินค้าที่ผู้คนนิยมซื้อให้แก่กันเป็นของขวัญหรือนิยมซื้อใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น วิดีโอเกมคอนโซล จอคอมพิวเตอร์ ของเล่น เครื่องประดับตกแต่งต้นคริสต์มาส เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เสื้อใส่ออกกำลังกาย เสื้อหนาว เสื้อกั๊ก ถุงมือ ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าคลุมหน้า เนคไท โบว์ผูกคอ ชุดสูทชาย เสื้อเบลเซอร์สตรี และผ้าคลุมเตียง เป็นต้น
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีนระลอกใหม่ในช่วงกลางเดือนธันวาคม บรรดาผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้รวมทั้งผู้ผลิตสินค้าอื่นๆอีกมากกว่า 100 รายได้จัดทำจดหมายและร่วมกันลงนามเพื่อยื่นต่อทำเนียบขาว ขอให้ผู้นำสหรัฐฯเปลี่ยนใจในเรื่องดังกล่าว
“เพราะว่าพวกเรายังต้องพึ่งพาการแสวงหาวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนประกอบเพื่อการผลิตจากประเทศจีน หากมีการจัดเก็บภาษีสินค้าจีนในอัตราสูงขึ้น ก็จะเท่ากับเป็นการขูดรีดภาษีเพิ่มจากผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของสหรัฐฯเองรวมทั้งเกษตรกรของสหรัฐฯ ที่ต้องทนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น” เนื้อหาส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุ นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การขึ้นภาษีสินค้าจีนครั้งที่ผ่านๆมา มักมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าน้อย ทำให้ผู้นำเข้าของสหรัฐฯ ไม่สามารถผลักหรือกระจายภาระต้นทุนที่สูงขึ้นนี้ให้แก่คู่ค้าในระบบห่วงโซ่การผลิตในประเทศจีนได้ทัน และยังไม่สามารถโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆอีกด้วย “ผลกระทบเต็มๆจากการขึ้นภาษีจะรับรู้ได้ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา และ(หากเกิดขึ้น) ก็อาจจะเป็นการขึ้นภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ”