โต๊ะเจรจาร้อน จีนลั่นร่างกม.มะกัน ‘แทรกแซง’ กิจการภายใน

21 พ.ย. 2562 | 07:14 น.

 

วานนี้ (20 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา สภาคองเกรสสหรัฐฯ มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในฮ่องกง ซึ่งกำหนดให้สหรัฐฯ ต้องตรวจสอบพิจารณาสถานภาพของฮ่องกงเป็นรายปีว่ายังคงมีเสรีภาพหรือไม่ เพื่อประกอบการทบทวนการให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่ฮ่องกง โดยผลการโหวตสนับสนุนนั้นท่วมท้นถึง 417 ต่อ 1 เสียง

 

ไม่เพียงเท่านั้น สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯยังผ่านร่างกฎหมายอีกฉบับด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ห้ามการส่งออกยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมฝูงชนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกง อาทิ แก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย กระสุนยาง และปืนชอร์ตไฟฟ้า

 

การลงคะแนนเสียงในสภานิติบัญญัติของสหรัฐฯ เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวันอังคาร (19 พ.ย.) ที่วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ในการผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในฮ่องกง หลังจากนี้ขั้นตอนต่อไปคือการให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในร่างกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้

ประธานาธิบดีทรัมป์ มีเวลา 10 วันเพื่อพิจารณาว่าจะลงนามในร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาโดยสภาคองเกรสแล้วหรือไม่
 

 

ไม่เป็นผลดีต่อการเจรจาการค้า

สื่อต่างประเทศรายงานว่า การลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ ถูกมองว่าเป็นการส่งเสริมการชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงที่ยังคงทวีความรุนแรงและมองไม่เห็นทางออก ไม่เพียงเท่านั้น ท่าทีของฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯในการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว ยังจะถูกมองว่าเป็นการท้าทายรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่อย่างซึ่งๆหน้าอีกด้วย  ซึ่งไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่จะทำเช่นนั้น เนื่องจากทั้งจีนและสหรัฐฯกำลังพยายามเจรจาหาข้อยุติให้กับสงครามการค้าที่มีมายาวนานข้ามปีและหลายฝ่ายก็ตั้งความหวังกับการทำข้อตกลงการค้าเพียงบางส่วนก่อน หรือที่เรียกว่า ‘ข้อตกลงการค้าเฟส1’ ที่เดิมคาดว่าน่าจะมีการลงนามกันได้ก่อนสิ้นปี 2562 นี้ แต่หลังจากสภาคองเกรสสหรัฐฯมีมติผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในฮ่องกง บรรยากาศการเจรจาก็กลับมาอึมครึม และเชื่อว่าการลงนามทำข้อตกลงเฟส1 ไม่น่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้

 

นายแม็กซ์ บอคัส อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงปักกิ่งในสมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามา ให้ความเห็นว่า หากประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามให้ร่างกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนจะเสื่อมทรามลงในทันที ขณะเดียวกันก็ไม่ช่วยให้ผู้ชุมนุมประท้วงบรรลุเป้าหมายที่มุ่งหวังอีกด้วย แต่จะเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับบรรยากาศการเจรจาการค้า วันพุธที่ผ่านมา (20 พ.ย.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯดำดิ่งลงทั่วหน้าเมื่อมีรายงานข่าวออกมาว่า ข้อตกลงเฟส1 อาจจะเสร็จไม่ทันสิ้นปี

 

ตลอดระยะที่ผ่านมานับจากอังกฤษคืนฮ่องกงกลับสู่อาณัติการปกครองของจีนเมื่อปี 2540 สหรัฐฯ ปฏิบัติต่อฮ่องกงในสถานะพิเศษที่แตกต่างจากการปฏิบัติต่อจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งในแง่ของการควบคุมทางการค้าและการส่งออก แต่กฎหมายฉบับใหม่ที่รอการลงนามของประธานาธิบดีทรัมป์อยู่นี้ จะทำให้มีการพิจารณาสถานะของฮ่องกงเป็นรายปี ทั้งยังอนุญาตให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คว่ำบาตรและสั่งจำกัดการเดินทางของเจ้าหน้าที่ฮ่องกงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ ‘ข่มขู่คุกคาม’ หรือ ‘กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน’ ด้านต่างๆ ต่อชาวฮ่องกง

 

ทั้งนี้ การพิจารณาสถานะของฮ่องกงจะอ้างอิงข้อตกลงระหว่างจีน-อังกฤษปี 2527 ที่ระบุให้ฮ่องกงมีเสรีภาพในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพทางการชุมนุม การเดินทาง การรวมกลุ่ม การหยุดงานประท้วง การเลือกทำงาน เสรีภาพทางวิชาการ และเสรีภาพทางศาสนาความเชื่อ แบบที่เรียกว่า "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ถ้าหากใครก็ตามละเมิดสิทธิเหล่านี้ ผู้นำสหรัฐฯ จะสามารถสั่งคว่ำบาตรได้

 

นายชัค ชูเมอร์ สมาชิกวุฒิสภาแห่งนิวยอร์กจากพรรคเดโมแครต ซึ่งสนับสนุนร่างกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในฮ่องกง กล่าวว่าการลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์รับร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นการส่งสารถึงผู้นำจีนว่า สหรัฐฯ ยืนอยู่ข้างเดียวกับผู้ประท้วงในฮ่องกง ขณะที่ นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ออกมาระบุว่าสหรัฐฯ กำลังจับตามองความรุนแรงที่ยกระดับขึ้นในฮ่องกงอย่างใกล้ชิดและเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาโดยสันติต่อวิกฤตการเมืองในครั้งนี้

 

หลังจากนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ จะมีเวลา 10 วันเพื่อพิจารณาว่าจะลงนามในร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาโดยสภาคองเกรสแล้วหรือไม่ โดยเขามีสิทธิที่จะวีโต้กฎหมายดังกล่าวได้เช่นกัน อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวระบุว่าทรัมป์ตั้งใจที่จะลงนามในกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย

 

โต๊ะเจรจาร้อน จีนลั่นร่างกม.มะกัน ‘แทรกแซง’ กิจการภายใน

ท้า ‘คิดให้ดี’ ก่อนลงนาม

ท่าทีของสหรัฐฯ ทำให้ทางการจีนมีปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยความไม่พอใจ กระทรวงการต่างประเทศของจีนออกแถลงการณ์ว่า ร่างกฎหมายของสหรัฐฯละเลยข้อเท็จจริง มีสองมาตรฐาน และแทรกแซงกิจการของฮ่องกงกับกิจการภายในอื่นๆ ของจีน อย่างเห็นได้ชัด  จีนย้ำว่า ประเด็นในขณะนี้ไม่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย แต่เกี่ยวกับการหยุดยั้งความโกลาหลวุ่นวายที่ก่อโดยผู้ก่ออาชญากรรมหัวรุนแรง  พร้อมประกาศว่า “ถ้าหากสหรัฐฯ ยังคงยืนยันจะตัดสินใจในทางที่ผิดต่อไป  จีนก็จะใช้มาตรฐานแข็งกร้าวเพื่อปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ของประเทศ"

 

ทางด้านรัฐบาลฮ่องกง ได้ออกแถลงการณ์ว่า กฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงที่มีอยู่ ได้ระบุให้การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพอยู่แล้ว ร่างกฎหมายของสหรัฐฯ หากมีการบังคับใช้จริง ก็จะส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์และผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างฮ่องกงกับสหรัฐฯมากกว่า  ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ยังระบุว่า ร่างกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในฮ่องกงและกฎหมายอื่นๆเกี่ยวกับฮ่องกงที่สหรัฐฯกำลังจะนำมาใช้นั้น ไม่เพียงเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกง แต่ยังเป็นการส่งสารผิดๆไปยังผู้ชุมนุมประท้วงหัวรุนแรง และจะไม่ช่วยให้สถานการณ์ในฮ่องกงสงบลงแต่อย่างใด  

 

โฆษกรัฐบาลฮ่องกงเปิดเผยว่า ตลอดระยะ 10 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลในฮ่องกง ทั้งยังได้เปรียบดุลการค้าฮ่องกงมากที่สุดอีกด้วย โดยในปี 2561 สหรัฐฯได้เปรียบดุลการค้าฮ่องกงอยู่ถึง 33,000 ล้านดอลลาร์ “การเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจและการค้าโดยอำเภอใจแต่เพียงฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ จะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย รวมทั้งผลประโยชน์ของสหรัฐฯเอง”