พิษเฮอริเคนถล่ม! “ศก.สหรัฐฯ” พัง 3 แสนล้านดอลล์-ลูกใหม่จ่อขึ้นฝั่ง
เฮอริเคน “เออร์มา” อ่อนกำลังแล้ว แต่เฮอริเคนลูกใหม่ก็กำลังก่อตัวและพร้อมบุกขึ้นฝั่งสหรัฐอเมริการะลอกใหม่ มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากเฮอริเคน 2 ลูกที่ผ่านพ้นไป คาดว่า จะอยู่ที่ระดับ 2-3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภาคการเกษตรในฟลอริดาอ่วมหนัก คาดผลผลิตส้มเสียหายแล้วกว่า 20%
บริษัทประกันภัย ลอยด์ส ออฟ ลอนดอน ประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพายุเฮอริเคน “เออร์มา” และ “ฮาร์วีย์” ว่า น่าจะอยู่ที่ระดับ 50,000-70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตัวเลขประเมินดังกล่าวเป็นความเสียหายที่อยู่ในระบบประกันภัย แยกเป็นความเสียหายจาก “เฮอริเคนฮาร์วีย์” ที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในรัฐเท็กซัส มูลค่าระหว่าง 20,000-30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และความเสียหายจาก “เออร์มา” ที่อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว มูลค่าราว 30,000-40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินโดยใช้ระบบประเมินความเสียหายของ บริษัท เอไออาร์ เวิลด์ไวด์
ขณะที่ ระบบประเมินความเสี่ยงของ บริษัท อาร์เอ็มเอส ระบุว่า ความเสียหายจากเฮอริเคนฮาร์วีย์ อาจขยับขึ้นไปที่ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหากเป็นเป็นเช่นนั้น มูลค่าความเสียหายรวมของพายุทั้ง 2 ลูก ก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะทำให้ปี 2560 นี้ ได้ชื่อว่าเป็น “ปีแห่งหายนภัยทางธรรมชาติ” ที่รุนแรงที่สุด โดยที่ฤดูกาลพายุเฮอริเคนยังไม่สิ้นสุดลงด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่า ความเสียหายจากพายุที่ยังไม่ขึ้นฝั่ง อาจทำสถิติใหม่ด้วยตัวเลขที่สูงกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก “พายุเออร์มา” นับว่ายังน้อยกว่าที่มีการคาดหมายไว้ในช่วงก่อนที่พายุจะขึ้นฝั่งรัฐฟลอริดา เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งในเวลานั้น ตัวเลขประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึงระดับ 2-3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันเป็นตัวเลขที่รวมความเสียหายที่ไม่อยู่ในความคุ้มครองของระบบประกันภัยไว้ด้วย “เราเพิ่งเข้าสู่ฤดูกาลของ ‘พายุเฮอริเคน’ เพียงครึ่งทางเท่านั้น แต่ความเสียหายพุ่งทำลายสถิติของปีก่อน ๆ แล้ว” ประกันภัยลอยด์ส ออฟ ลอนดอน ระบุ
ในภาคการเกษตร “ฟลอริดา” เป็นรัฐใหญ่ที่ผลิตพืชผลที่เป็นอาหาร โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่เกษตรกรรมทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดา มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาผัก ผลไม้ อาทิ มะเขือเทศและส้ม ขยับราคาขึ้นแล้ว พืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เพาะปลูกในรัฐฟลอริดา ได้แก่ เกรพฟรุต, แตงโม และอ้อย
นักวิเคราะห์คาดว่า ประมาณ 20% ของผลผลิตพืชตระกูลส้ม ในรัฐฟลอริดา ได้รับความเสียหายจากพายุเออร์มา ซึ่งมีผลทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพราะต้องใช้เวลา 2-3 ปี ในการปลูกต้นส้มทดแทนต้นเก่าที่ถูกพายุล้มไป
ส่วน “อุตสาหกรรมน้ำมัน” ซึ่งได้รับผลกระทบจากเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ พบว่า กำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวเม็กซิโก ลดลงไป 25% และกำลังผลิตของโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ 10%
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,297 วันที่ 17-20 ก.ย. 2560
บริษัทประกันภัย ลอยด์ส ออฟ ลอนดอน ประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพายุเฮอริเคน “เออร์มา” และ “ฮาร์วีย์” ว่า น่าจะอยู่ที่ระดับ 50,000-70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตัวเลขประเมินดังกล่าวเป็นความเสียหายที่อยู่ในระบบประกันภัย แยกเป็นความเสียหายจาก “เฮอริเคนฮาร์วีย์” ที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในรัฐเท็กซัส มูลค่าระหว่าง 20,000-30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และความเสียหายจาก “เออร์มา” ที่อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว มูลค่าราว 30,000-40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินโดยใช้ระบบประเมินความเสียหายของ บริษัท เอไออาร์ เวิลด์ไวด์
ขณะที่ ระบบประเมินความเสี่ยงของ บริษัท อาร์เอ็มเอส ระบุว่า ความเสียหายจากเฮอริเคนฮาร์วีย์ อาจขยับขึ้นไปที่ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหากเป็นเป็นเช่นนั้น มูลค่าความเสียหายรวมของพายุทั้ง 2 ลูก ก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะทำให้ปี 2560 นี้ ได้ชื่อว่าเป็น “ปีแห่งหายนภัยทางธรรมชาติ” ที่รุนแรงที่สุด โดยที่ฤดูกาลพายุเฮอริเคนยังไม่สิ้นสุดลงด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่า ความเสียหายจากพายุที่ยังไม่ขึ้นฝั่ง อาจทำสถิติใหม่ด้วยตัวเลขที่สูงกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก “พายุเออร์มา” นับว่ายังน้อยกว่าที่มีการคาดหมายไว้ในช่วงก่อนที่พายุจะขึ้นฝั่งรัฐฟลอริดา เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งในเวลานั้น ตัวเลขประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึงระดับ 2-3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันเป็นตัวเลขที่รวมความเสียหายที่ไม่อยู่ในความคุ้มครองของระบบประกันภัยไว้ด้วย “เราเพิ่งเข้าสู่ฤดูกาลของ ‘พายุเฮอริเคน’ เพียงครึ่งทางเท่านั้น แต่ความเสียหายพุ่งทำลายสถิติของปีก่อน ๆ แล้ว” ประกันภัยลอยด์ส ออฟ ลอนดอน ระบุ
ในภาคการเกษตร “ฟลอริดา” เป็นรัฐใหญ่ที่ผลิตพืชผลที่เป็นอาหาร โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่เกษตรกรรมทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดา มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาผัก ผลไม้ อาทิ มะเขือเทศและส้ม ขยับราคาขึ้นแล้ว พืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เพาะปลูกในรัฐฟลอริดา ได้แก่ เกรพฟรุต, แตงโม และอ้อย
นักวิเคราะห์คาดว่า ประมาณ 20% ของผลผลิตพืชตระกูลส้ม ในรัฐฟลอริดา ได้รับความเสียหายจากพายุเออร์มา ซึ่งมีผลทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพราะต้องใช้เวลา 2-3 ปี ในการปลูกต้นส้มทดแทนต้นเก่าที่ถูกพายุล้มไป
ส่วน “อุตสาหกรรมน้ำมัน” ซึ่งได้รับผลกระทบจากเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ พบว่า กำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวเม็กซิโก ลดลงไป 25% และกำลังผลิตของโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ 10%
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,297 วันที่ 17-20 ก.ย. 2560
