เอกสารเผยแพร่ของรัฐบาลซึ่งชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการแยกตัวออกจาก EU ของ UK มีใจความสำคัญว่า UK จำเป็นต้องออกจากตลาดเดียว (Single market) ของ EU เนื่องจาก UK ต้องการควบคุมจำนวนผู้อพยพ ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการของ EU ที่มีเป้าหมายสำคัญในการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ เงินทุน และคนได้อย่างเสรี โดย UK มีเป้าหมายที่จะทำข้อตกลงการค้าเสรีกับ EU เพื่อให้การค้าของทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ทั้งนี้ การออกจาก Single market เป็นสิ่งที่นักลงทุนมองว่าเป็น Hard Brexit
Analysis
ค่าเงินปอนด์มีความอ่อนไหวต่อข่าวที่เกี่ยวกับ Brexit ค่อนข้างมาก โดยล่าสุดแตะจุดต่ำที่สุดในรอบกว่า 30 ปี ในวันที่มีการประกาศว่าเป็น Hard Brexit ตลาดการเงินมีมุมมองว่าการถอนตัวออกจาก EU ในรูปแบบดังกล่าวอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของ UK ได้ในอนาคต (รูปที่ 1) เนื่องจาก UK พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศกับ EU คิดเป็นสัดส่วนกว่า 1 ใน 3 ของการค้าระหว่างประเทศของ UK ทั้งหมด อีกทั้งการออกจาก Single market ของ EU หมายความว่า ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่าง UK และ EU จะไม่สามารถทำให้ UK ได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่ากับสมาชิกของ EU อย่างแน่นอน และจะกระทบต่อข้อตกลงทางการค้าที่ UK เคยทำกับประเทศอื่น ในฐานะประเทศสมาชิกของ EU อีกด้วย นอกจากนี้ หาก UK ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับ EU ได้ภายใน 2 ปี และไม่มีการขยายระยะเวลาเพิ่มเติมจะส่งผลให้ UK ต้องทำการค้าขายกับ EU ภายใต้เงื่อนไขขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งเรียกได้ว่าไม่มีอภิสิทธิ์ใดเลย
อีไอซีมองว่า การเร่งกระบวนการ Brexit ให้เกิดขึ้นเร็ว อาจทำให้ได้ข้อตกลงที่ไม่สมบูรณ์นัก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อภาคเศรษฐกิจจริง สภาขุนนาง (House of Lords) มีมติแก้ไขร่างกฎหมาย Brexit ก่อนหน้านี้ โดยต้องการให้รัฐบาลรับประกันสิทธิ์ให้กับพลเมืองของ EU จำนวน 3 ล้านคนในการพำนักอยู่ที่ UK และต้องการที่จะได้รับสิทธิ์ในการยับยั้งข้อตกลง (veto) ในขั้นสุดท้ายของการเจรจาแยกตัวออกจาก EU สะท้อนว่ายังมีความขัดแย้งภายใน และอาจยังไม่มีความพร้อมที่เพียงพอในการเริ่มกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ถึงแม้ผลกระทบจากผลโหวต Brexit นับตั้งแต่ผลประชามติในวันที่ 23 มิ.ย. 2016 จะยังไม่สะท้อนผ่านภาคเศรษฐกิจจริงของ UK มากนัก โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) และความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ UK ยังสูงกว่าระดับก่อนผลประชามติ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของ UK ฟื้นตัวมาอย่างต่อเนื่องจากการบริโภคภาคครัวเรือนก่อนหน้าแล้ว ซึ่งตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่าง Brexit ค่อนข้างช้า โดยภาวะการจ้างงานที่ยังไม่ซบเซาส่งผลให้ผู้บริโภคยังไม่ชะลอการบริโภค เพราะเชื่อมั่นว่าจะยังมีรายได้เพื่อการใช้จ่ายในอนาคต แต่การเริ่มต้นกระบวนการ Brexit ที่เร็วเกินไปจะยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับข้อตกลงฉบับใหม่ และอาจมีส่วนสำคัญต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจในระยะยาว อีกทั้งการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ เงินทุน และแรงงาน ที่ยากขึ้นอาจทำให้บริษัทที่มีการประกอบธุรกิจเชื่อมโยงกับประเทศอื่นใน EU เลือกที่จะย้ายสำนักงานออกจาก UK ซึ่งจะส่งผลให้การลงทุน การจ้างงาน การบริโภค และเศรษฐกิจของ UK ชะลอตัวลงในที่สุด นอกจากนี้ ค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่ารุนแรงอาจส่งผลให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น และจะกระทบการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในระยะต่อไป ทั้งนี้ เศรษฐกิจของ EU อาจชะลอตัวตามไปด้วยเช่นกัน เนื่องจาก UK เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีความเชื่อมโยงกับ EU ค่อนข้างมาก
ภาคธุรกิจหลายแห่งโดยเฉพาะภาคธนาคารตัดสินใจที่จะย้ายสำนักงานออกจาก UK จากการสำรวจของบริษัท Ernst & Young พบว่า บริษัทต่างชาติใน UK กว่า 14% ตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายการทำงานบางส่วนหรือทั้งหมดออกจาก UK โดยบริษัทกว่าครึ่งมองว่าเยอรมนีเป็นที่ตั้งที่น่าสนใจที่สุดในยุโรป นอกจากนี้ สถาบันการเงินขนาดใหญ่อย่างธนาคาร Barclays ก็เตรียมย้ายสำนักงานใหญ่จาก UK ไปที่ไอร์แลนด์ ขณะที่ Morgan Stanley เตรียมย้ายพนักงาน 300 คนออกจาก UK หลังแยกตัวจาก EU ทั้งนี้ นอกเหนือจากปัจจัยด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน ภาคธนาคารบางส่วนตัดสินใจที่จะลดการประกอบการใน UK เพราะความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจชะงักงันอาจส่งผลต่อเนื่องถึงการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศและต้นทุนการกู้ยืมของสถาบันการเงินได้ในอนาคต