หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์รายงานว่า รัฐบาลอินโดนีเซียผ่อนคลายระเบียบการส่งออกแร่นิกเกิล อลูมิเนียมและทองแดง โดยประกาศว่าถ้าเมืองแร่ท้องถิ่น ที่ให้คำมั่นว่าจะสร้างโรงถลุงแร่และส่งแร่ให้โรงถลุงในประเทศอย่างน้อย 30 % ให้สามารถส่งออกได้
การผ่อนคลายการส่งออกแร่ เป็นนโยบายของรัฐบาล ประธานาธิบดีโจโกวี วิโดโด หรือโจโกวี ที่จะช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก จากเดิมที่มีระเบียบห้ามการส่งออกแร่เพื่อสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมแปรรูปแร่ในประเทศ แต่เศรษฐกิจโลกที่อ่อนตัวลงเร็วกว่าคาด ทำให้การส่งออกของอินโดนีเซียหดตัวลงสร้างปัญหาให้กับการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ประธานาธิบดี โจโกวี ผ่อนคลายระเบียบการส่งออกแร่ครั้งล่าสุดด้วยการออกประกาศในวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 ที่มีการออกประกาศเพื่อปรับปรุงระเบียบรัฐบาลที่ 23/2010 เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจเหมืองแร่และถ่านหิน โดยเป็นการปรับปรุงเพื่ออนุญาตให้เหมืองแร่สามารถส่งออกหัวแร่ทองแดง แร่นิกเกิลคุณภาพต่ำในปริมาณจำกัดและแร่บ๊อกไซต์หรืออลูมิเนียมที่ทำความสะอาดแล้ว
นายอิกนาเซียสโจนัน (Ignasius Jonan) รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ‘เจ้าของเหมืองนิกเกิลและบ็อกไซต์สามารถส่งออกได้หลังจากที่ส่งแร่ให้โรงถลุงได้ครบ 30 % และให้คำมั่นว่าจะสร้างโรงถลุงของตัวเองภายใน 5 ปีโดยทางกระทรวงจะติดตามตรวจสอบทุก 6 เดือนถ้าไม่มีความเคลี่อนไหวก็จะถอนใบอนุญาตส่งออก’
โจนัน ระบุว่าขณะนี้มีคนเจ้าใจผิดว่าระเบียบใหม่ บังคับให้เหมืองแร่ท้องถิ่นต้องส่งแร่นิกเกิลหรือบ็อกไซต์ 30 % ของที่ผลิตได้เข้าโรงถลุง ทั้งที่ปริมาณ 30 % คำนวณจากกำลังการผลิตของโรงถลุงแร่ทั้งหมดซึ่งเท่ากับว่าเหมืองแร่นิกเกิลต้องส่งแร่ให้โรงถลุง 30 % ของกำลังการถลุงรวม 16 ล้านตันซึ่งเท่ากับ 4.8 ล้านตันไม่ใช่กำลังการผลิต 10 ล้านตันโดยรัฐจะทำตัวเป็นผู้บริหารกลางเพื่อให้เกิดความยุติธรรม
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ในขณะเดียวกัน ระบุว่าการผ่อนคลายระเบียบการส่งออก ทำให้นักลงทุนจีนไม่พอใจ เนื่องจาก ได้ลงทุนในโรงถลุงแร่จำนวนมากโดยมีรายงานว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมามีการลงทุนสร้างโรงถลุงแร่ในอินโดนีเซียเพิ่ม 32 โรง เป็นโรงถลุงแร่นิกเกิล 24 โรง และคาดว่าภายในปี 2563 กำลังการถลุงแร่ในอินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้น 180 % เป็น 4 แสนตัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,229 วันที่ 22 - 25 มกราคม 2560