ชี้ภาวะผันผวนก่อน/หลังเลือกตั้งมะกัน จ่อกระทบตลาดทุน-ศก.ไทย

11 ต.ค. 2559 | 02:00 น.
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาใกล้โค้งสุดท้ายเข้ามาทุกขณะ มีการวิเคราะห์จากหลายสำนักวิจัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของผลการเลือกตั้ง รวมทั้งผลกระทบที่อาจจะมีขึ้นต่อตลาดเงิน ตลาดทุน และเศรษฐกิจโลกในภาพรวม ท่ามกลางการหาเสียงของทั้งสองผู้สมัครลงชิงชัยจาก 2 พรรคใหญ่คือ เดโมแครต และรีพับลิกัน ที่เคี่ยวงวดจนเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆนี้ คณะนักวิเคราะห์จาก Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอบทวิเคราะห์เกี่ยวกับความเสี่ยงของผลการเลือกตั้งที่อาจมีต่อประเทศไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้

  การเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน นับว่าเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอยู่ในระยะฟื้นตัวจากวิกฤติการเงินเมื่อปี 2008

โดยทั้งผู้นำใหม่และนโยบายที่ตามมาจะมีนัยสำคัญต่อภูมิศาสตร์ทางการเมืองและทิศทางเศรษฐกิจในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า สำหรับไทยเองก็ต้องจับตามองผลการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าและแหล่งเงินลงทุนโดยตรง (FDI) ที่สำคัญของไทย นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งจะสร้างความผันผวนในตลาดการเงินทั้งในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการเคลื่อนไหวของเงินทุนอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะปัจจุบันที่มีสภาพคล่องส่วนเกินในเศรษฐกิจโลก อีไอซีมองว่าไทยควรเฝ้าระวังผลการเลือกตั้งครั้งนี้ และเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของทิศทางการเมืองและนโยบายของสหรัฐฯ

[caption id="attachment_104881" align="aligncenter" width="700"] เหตุการณ์สำคัญเลือกตั้งสหรัฐฯ เหตุการณ์สำคัญเลือกตั้งสหรัฐฯ[/caption]

  ในการโต้วาทีที่ผ่านมา ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงยืนยันนโยบายส่วนใหญ่ที่ใช้ในการหาเสียงในช่วงก่อนหน้า

โดยนโยบายเศรษฐกิจหลักของฝ่ายพรรคเดโมแครต ได้แก่ การปรับโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มการกระจายรายได้ และการเพิ่มงบลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะด้านพลังงาน ด้านพรรครีพับลิกันยังคงชูนโยบายมาตรการลดภาษีขนาดใหญ่โดยเน้นภาคธุรกิจ การตั้งกำแพงภาษีกีดกันสินค้านำเข้าและเพิ่มความเข้มงวดในการจ้างงานแรงงานต่างชาติเพื่อดึงอุตสาหกรรมการผลิตให้กลับมาในประเทศ ถึงแม้จุดยืนของทั้งสองฝ่ายจะมีความแตกต่างกันอยู่มาก แต่ทั้งคู่กลับแสดงความกังวลต่อข้อเสียเปรียบด้านข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Trans-Pacific Partnership (TPP) ซึ่งมีแนวโน้มไม่ได้รับการยอมรับขั้นสุดท้ายหรือสัตยาบันจากสภาคองเกรส ทิศทางการดำเนินนโยบายเช่นนี้จึงเป็นความน่ากังวลประการหนึ่งสำหรับประเทศคู่ค้าอย่างไทย

  ผลการเลือกตั้งยังคงมีความไม่แน่นอนสูงถึงแม้ว่าฮิลลารีจะมีคะแนนนิยมนำ

ผลสำรวจล่าสุดในวันที่ 5 ตุลาคม 2559โดย Reuter/Ipsos ชี้ว่าจากผู้สมัครทั้งหมด ฮิลลารี คลินตันมีคะแนนนิยมนำโดนัลด์ ทรัมป์อยู่ที่ 42% และ 36% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูสีเทียบกับการเลือกตั้งในอดีต โดยหากพิจารณาข้อมูลการเลือกตั้งที่ผ่านมาพบว่าผู้สมัครที่มีผลคะแนนนำในช่วง 7 สัปดาห์ หลังจากการแต่งตั้งผู้แทนพรรคมักจะเป็นผู้ชนะในที่สุด

นอกจากนี้ ผลสำรวจของ CNN/ROC ยังระบุอีกว่าผู้ชมส่วนใหญ่มองว่า ฮิลลารี คลินตันทำได้ดีกว่าในการโต้วาทีครั้งแรกที่ผ่านมา ทำให้โดยรวมแล้วดูเหมือนว่า ฮิลลารีมีโอกาสก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปมากกว่า อย่างไรก็ดี คะแนนนิยมของผู้สมัครทั้งสองยังเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยหลายฝ่ายกังวลว่ากลุ่ม swing vote ซึ่งไม่สังกัดพรรคใดพรรคหนึ่งอาจจะส่งผลให้โดนัลด์ ทรัมป์พลิกมาชนะได้ เช่นเดียวกันกับผลประชามติออกจาก EU ของสหราชอาณาจักรที่เหนือความคาดหมาย อีกทั้งด้วยรูปแบบการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่ใช้ระบบ Electoral College ทำให้การชนะคะแนนนิยม (popular vote) ก็อาจยังไม่ได้ชี้ขาดว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี จนกว่าผลการเลือกตั้งระดับ Electoral College จะประกาศในวันที่ 6 มกราคม 2017 เช่น กรณีของการเลือกตั้งในปี 2000 ที่จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช สามารถก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าจะแพ้คะแนนนิยมต่ออัล กอร์ จากพรรคเดโมแครต

  มีโอกาสสูงที่สภาวะการเมืองชะงักงัน (political gridlock)ในสหรัฐฯ จะดำเนินต่อไป ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งก็ตาม

อีกปัจจัยที่ต้องจับตามองคือการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (1 ใน 3 ของทั้งหมด) ที่จะเกิดในวันเดียวกันว่าจะสามารถปลดล็อกสภาวะการเมืองชะงักงันของสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญมาตั้งแต่ปี 2012 ได้หรือไม่ โดยในปัจจุบันทั้ง 2 สภามีเสียงส่วนใหญ่เป็นพรรครีพับลิกัน ทำให้ประธานาธิบดีบารัก โอบามาซึ่งมาจากพรรคเดโมเครตต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเสนอนโยบายต่างๆ เนื่องจากการตัดสินใจหลายอย่างของรัฐบาลและการผ่านร่างกฎหมายต่างๆ ต้องได้รับการเห็นชอบจากทั้ง 2 สภา ในการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้ว่าฮิลลารี คลินตัน จะมีคะแนนนิยมนำและอาจเอาชนะการเลือกตั้งได้ แต่โอกาสที่พรรคเดโมแครตจะชนะอย่างถล่มทลายเพื่อกลับมาเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภานั้นมีค่อนข้างจำกัด จากผลสำรวจรายพื้นที่ของ Cook Partisan Voting Index สำหรับกรณีที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะและพรรครีพับลิกันสามารถคงเสียงส่วนใหญ่ในสภาได้ ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาเสียงในพรรคแตกแยก เห็นได้จากแกนนำพรรคหลายฝ่ายที่ออกมาต่อต้านนโยบายบางอย่างของทรัมป์โดยสภาวะดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับนโยบายด้านงบประมาณการใช้จ่ายของรัฐฯ ที่อาจจะไม่สามารถขยายตัวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในสภาวะที่เปราะบางได้ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากความล่าช้าในการตัดสินใจ เช่น กรณีที่ไม่สามารถตกลงงบประมาณได้ตามกำหนดจนนำไปสู่การปิดทำการของหน่วยงานรัฐฯ (government shutdown) ในปี 2013 และปัญหาการปรับเพดานหนี้สาธารณะที่อาจสร้างความตื่นตระหนกในตลาดเงินได้

 ความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนอย่างหนักโดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคม

ด้วยผลสำรวจความนิยมที่ยังค่อนข้างสูสี ประกอบกับความหวาดกลัวของนักลงทุนจากกรณี Brexit จะทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินในระยะสั้น โดยจากข้อมูลการเลือกตั้งในอดีตค่า CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความหวาดกลัวของนักลงทุนพุ่งสูงขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 21% ในเดือนก่อนการเลือกตั้ง (ตุลาคมของปีเลือกตั้ง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่การแข่งขันเป็นไปอย่างสูสี แต่จะลดลงหลังผลการเลือกตั้งออกมาเป็นที่แน่นอนแล้ว (ลดลง 8% โดยเฉลี่ยในเดือนพฤศจิกายนที่มีการเลือกตั้ง) โดยในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีสภาพคล่องส่วนเกินอย่างในปัจจุบัน ความผันผวนดังกล่าวอาจทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของเงินทุนอย่างฉับพลัน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรุนแรง เช่น ในกรณีของ Brexit นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเชิงนโยบายเป็นแรงกดดันส่วนหนึ่งต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนที่หดตัวติดต่อกันถึง 3 ไตรมาสแล้ว

รายงานของ Bank of America ล่าสุดยังเปิดเผยว่าผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐฯ มองว่าความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งมีผลต่อการตัดสินใจจ้างงานและการลงทุน รวมไปถึงผลการเลือกตั้งที่นอกเหนือความคาดหมายก็อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจจนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายออกไปอีกก็เป็นได้

  โอกาสที่โดนัลด์ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งยังคงมีอยู่และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายที่จะมีผลต่อภาคเศรษฐกิจจริงได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านนโยบายภาษี การคลัง และนโยบายการค้าระหว่างประเทศ จากที่เริ่มเห็นผลการอ่อนลงของค่าเงินเปโซของเม็กซิโกซึ่งเป็นประเทศที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงจากนโยบายกีดกันทางการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์
สำหรับไทย นอกจากความน่ากังวลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อีกด้านคือการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดีมีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่าสภาคองเกรส เมื่อเทียบกับนโยบายด้านอื่น โดยนโยบายของทรัมป์อาจจะสั่นคลอนความมั่นคงของการเมืองระหว่างประเทศจากการไม่สนับสนุนพันธมิตรอย่าง NATO หรือ การลดบทบาทของสหรัฐฯ ในเอเชีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าในภูมิภาคเอเชีย

หมายเหตุ : บทวิเคราะห์ EIC โดย กันทิมา วงศ์สถาปัตย์ ([email protected]) และ ดร.ชุติมา ตันตะรวงศา([email protected]) Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) EIC Online: www.scbeic.com

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,199 วันที่ 9 - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559