มายรัมแนะธุรกิจเร่งปรับตัว นำดิจิตอลทรานส์ฟอร์มต่อยอดรับแข่งขันยุค4.0

15 ก.ค. 2559 | 08:00 น.
มายรัม แนะแบรนด์สินค้าและบริการไทยเร่งปรับตัวรับยุคการแข่งขันดิจิทัล 4.0 ที่คาดจะเข้าภายใน 2-3 ปีนี้ ประเมินไทยอยู่ในยุค 3.5 หันเน้นให้บริการปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น ตั้งเป้าสิ้นปีดันรายได้กลุ่มนี้โตเป็น 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% คาดการณ์รายได้เติบโตใกล้เคียงตลาด เผยเศรษฐกิจไม่ส่งผลกระทบภาพรวมสื่อออนไลน์

[caption id="attachment_70849" align="aligncenter" width="335"] อุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น บริษัท มายรัม (ประเทศไทย) จำกัด อุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น บริษัท มายรัม (ประเทศไทย) จำกัด[/caption]

นางสาวอุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น บริษัท มายรัม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจและซีอีโอของแต่ละบริษัท ควรต้องสร้างการบริการที่ต่อยอดลูกค้าและตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกด้าน นั่นหมายถึงแบรนด์ที่มีลูกค้าอยู่ในมือไม่จำเป็นต้องขายสินค้าหลักอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องสามารถต่อยอดสินค้าและบริการออกไปได้อีกตามอีโคซิสเต็ม(ระบบนิเวศน์) ของแบรนด์ สามารถล้อมบริการไว้กับลูกค้าเพื่อให้แบรนด์สามารถรับมือให้ทันต่อสถานการณ์การแข่งขันยุคดิจิทัล 4.0

“ปัจจุบันการแข่งขันทางการตลาดของโลกต้องพึ่งพานวัตกรรมด้านดิจิทัล จนกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยจัดอยู่ในยุคดิจิทัล 3.5 ซึ่งเป็นยุคระบบการสื่อสารแบบคลาวน์คอมพิวติ้ง (หน่วยจัดเก็บข้อมูล ประมวลผล ข้อมูลต่างๆบนพื้นที่ออนไลน์) โดยสามารถเชื่อมการทำงานต่างแพลตฟอร์มจนกระทั่งเกิดบริการออนไลน์ ,Omni channel , และสมาร์ทโฟน อื่นๆ หรือยุคที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นอุปกรณ์ในการค้นหาข้อมูลการสื่อสารและสั่งซื้อสินค้าจนแบรนด์ต้องปรับตัวมาเริ่มต้นสื่อสารกับลูกค้าที่สมาร์ทโฟนและขยายไปยังอุปกรณ์พกพาใหม่ๆ ทั้งนี้เพื่อให้นักธุรกิจแบรนด์ไทยสามารถรักษาตลาดและสร้างรายได้ๆมากขึ้นองค์กรต่างๆควรต้องปรับตัวสู่ยุคการตลาด 4.0 ให้เร็วขึ้น”

สำหรับยุคดิจิทัล 4.0 คือยุคที่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม (การนำเทคโนโลยีดิจิทัลประสานเข้ากับองค์กรเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ให้กับสินค้าและบริการ ให้สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าทั่วโลก) เพื่อธุรกิจในยุคที่การสื่อสารและการทำงานเกิดขึ้นเองอัตโนมัติผ่านเทคโนโลยี Machine หรือ IoT ซึ่งเป็นการพัฒนารูปแบบการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีสู่การสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจเพิ่มคุณค่า และสร้างมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ ซึ่งแบรนด์ต้องปรับตัวคัดสรรนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งาน การแข่งขันที่รวดเร็วและรอบด้าน ส่งผลโดยตรงกับวงการอุตสาหกรรมไทยที่ต้องปรับตัวรับมือนวัตกรรมการผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ทัน อาทิ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่อยู่อาศัย และการเงินการธนาคาร เป็นต้น

ขณะเดียวกันบริษัทคาดการณ์ว่าหากผู้ประกอบการไทยทุกฝ่ายเร่งปรับตัว โดยเฉพาะกลุ่มแบรนด์ที่มีซัพพลายเชน หรือ OEM หากนำเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการต่อยอด โดยนำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีด้าน IoT เข้ามาใส่จะช่วยผลักดันให้แบรนด์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมานวัตกรรมเทคโนโลยีด้านเซ็นเซอร์ทั่วโลกมีราคาถูกลงจากอดีตมาก ดังนั้นหากแบรนด์สามารถนำนวัตกรรมดังกล่าวมาต่อยอดได้จะมีความได้เปรียบต่อธุรกิจมาก อย่างไรก็ตามเชื่อว่าประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคดิจิทัล 4.0 อย่างเต็มรูปแบบได้ภายในอีก 2-3 ปีนับจากนี้ เนื่องจากปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น ขณะที่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย เช่น สิงค์โปร ฮ่องกง และญี่ปุ่น ได้เข้าสู่ยุคดิจิทัล 4.0 แล้ว

ทั้งนี้ด้านการทำงานของมายรัมจะแตกต่างจากเอเยนซี่อื่น โดยบริษัทจะเน้นการทำงานที่ก้าวไปข้างหน้าตามสโลแกน “Let’s make what’s next” พร้อมเปิดบริการที่เจาะลึกงานออกแบบ ที่เน้นศึกษาพฤติกรรมและการใช้งานของลูกค้าเป็นแกนหลัก (User Centered Design) ขณะเดียวกันจะเน้นการให้บริการปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น การออกแบบที่เน้นข้อมูลและการใช้งานของลูกค้าเพื่อตอบโจทย์การแข่งขันธุรกิจ การสร้างแบรนด์ การขายและการสื่อสารผ่านดิจิทัลครบทุกช่องทาง ซึ่งปีนี้บริษัทพยายามผลักดันสัดส่วนรายได้ในกลุ่มงานดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่นให้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันมีรายได้กลุ่มนี้ราว 20%

ส่วนภาพรวมตลาดออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมานั้น ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศจะยังไม่ดีขึ้น แต่การที่เศรษฐกิจไม่ดีภาพรวมตลาดสื่อออนไลน์และดิจิทัลยิ่งเติบโต เนื่องจากแบรนด์สินค้าและบริการมองว่าสื่อประเภทนี้สามารถจำกัดงบประมาณการใช้สื่อโฆษณาได้ อีกทั้งสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเน้นได้ชัดเจนมากกว่าและที่สำคัญสามารถวัดผลได้ ดังนั้นที่ผ่านมาตลาดสื่อกลุ่มนี้จึงไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจมากนัก จึงมองว่าตลาดสื่อออนไลน์ยังคงได้รับความสนใจจากแบรนด์และนักการตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ภายในสิ้นปีนี้ภาพรวมตลาดจะเติบโตกว่า 20-30% เช่นเดียวกับการเติบโตของบริษัทที่คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับตลาดเช่นกัน

Photo : Pixabay
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,174 วันที่ 14 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559