‘แตะเพื่อจ่าย’ ผ่านสมาร์ทโฟนพุ่ง

18 ก.ย. 2563 | 09:21 น.

วีซ่า เปิดตัวเทคโนโลยี Tap to Phone พร้อมผลักดันทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการชำระเงินเริ่มรับการชำระเงินโซลูชั่นใหม่อย่าง Tap to Phone เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อยและขนาดย่อมสามารถเข้าสู่เศรษฐกิจแบบดิจิทัลได้ในช่วงที่ผู้บริโภคและหลายธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้หันมาใช้บริการการชำระเงินรูปแบบดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยโซลูชั่น Tap to Phone จะช่วยให้ผู้ค้าสามารถรับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าได้โดยตรงผ่านสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่รองรับระบบ NFC โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องรับการชำระเงินเพิ่มเติม

ผลสำรวจฉบับล่าสุดของวีซ่า พบว่ามากกว่าครึ่งของผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก (55 %) สนใจจะใช้เทคโนโลยีการชำระอย่าง Tap to Phone ถึงแม้ว่าบริการดังกล่าวในขณะนี้จะยังไม่ได้มีให้ใช้อย่างแพร่หลายในภูมิภาคนี้ก็ตาม โดยกลุ่มผู้บริโภคที่มีความสนใจใช้บริการมากที่สุด คือ ประเทศมาเลเซีย (64 %) ตามด้วยไต้หวัน (62 %) ฮ่องกง (62 %) และอินเดีย (55 %) การศึกษาฉบับนี้สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อโซลูชั่นใหม่อย่าง Tap to Phone เริ่มมีการใช้งานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผู้บริโภคจะหันมาใช้การชำระเงินรูปแบบใหม่นี้เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการชำระเงินในรูปแบบคอนแทคเลสอยู่แล้ว 

 ‘แตะเพื่อจ่าย’ ผ่านสมาร์ทโฟนพุ่ง

คริส คลาร์ก ประธานบริหารของวีซ่า ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนำหน้าภูมิภาคอื่นในเรื่องการชำระเงินแบบคอนแทคเลส ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 44 % ของการทำธุรกรรม ณ ร้านค้าของวีซ่าในภูมิภาคนี้ และมีสัดส่วนมากกว่า 70 % ของตลาดหลักๆ ของวีซ่า[1]”

“ประสบการณ์ในการใช้ แตะเพื่อจ่าย  ผ่านสมาร์ทโฟน  หรือTap to Phone ของผู้บริโภคมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์ในเรื่องของความปลอดภัยอีกด้วย โดยแทนที่จะแตะบัตร สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่เครื่องรับชำระเงินของร้านค้า ผู้บริโภคจะสามารถแตะเพื่อจ่ายที่สมาร์ทโฟนของผู้ค้าเพื่อชำระเงินได้เลย สำหรับผู้ค้าเองด้วยวิธีการนี้จะช่วยให้พวกเขารับการชำระเงินรูปแบบดิจิทัลได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องรับชำระเงินแยกต่างหาก สำหรับธุรกิจขนาดย่อยและขนาดย่อม โซลูชั่น Tap to Phone ถือเป็นบริการรับชำระเงินที่ย่อมเยากว่าในการรับบัตรวีซ่า และได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการค้าในรูปแบบดิจิทัล”, คริส กล่าวเสริม

 

นอกจากนี้ การชำระเงินแบบ Tap to Phone ยังช่วยในการจัดการระบบรับชำระเงินหน้าร้านง่ายดายยิ่งขึ้น และยังเอื้อประโยชน์ให้กับผู้บริโภคอีกด้วย มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (55 %) ระบุว่าความง่ายดายในการใช้งานถูกจัดให้เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดในการผลักดันให้พวกเขาทดลองใช้บริการ ตามมาด้วยการประหยัดเวลา (51 %) และการที่ไม่ต้องยุ่งยากพกเงินสด (50 %)

43 %ของผู้บริโภคจัดให้เรื่องความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขายอมรับการชำระเงินแบบ Tap to Phone อย่างไรก็ตาม วีซ่าเชื่อว่าทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมการชำระเงินยังต้องร่วมกันให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง โดยประเด็นเรื่องการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลด้านการเงินเป็นรื่องที่ผู้บริโภคให้ความกังวลมากที่สุดเมื่อใช้การชำระเงินแบบ Tap to Phone ทั้งนี้โซลูชั่น Tap to Phone ได้มีการวางระบบรักษาความปลอดภัยไว้หลายชั้นทั้งในฝั่งของผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานขั้นสูงสุดด้านความปลอดภัยของวีซ่า  แต่ละบริการต้องผ่านกระบวนการรับรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมถึงการประเมินด้านความปลอดภัยโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการรับรองระบบบริหารคุณภาพห้องปฏิบัติการ ไม่เพียงเท่านั้นบริการรับชำระเงินเหล่านี้ยังได้รับการสนับสนุนโดยมาตรฐานทางอุตสาหกรรมที่ได้รับการพัฒนาและออกหนังสือรับรองโดยคณะกรรมการมาตรฐานความปลอดภัยสารสนเทศ (PCI)

การศึกษาของวีซ่ายังมองไปที่กลุ่มธุรกิจร้านค้าที่ผู้บริโภคมีความสนใจชำระเงินผ่านเทคโนโลยี Tap to Phone โดยร้านสะดวกซื้อได้รับเลือกถึง 59 %ของผู้ร่วมทำการสำรวจทั้งหมด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความต้องการด้านธุรกรรมที่มีความรวดเร็วและง่ายดาย นอกจากนี้มากกว่าครึ่ง (56 %) กล่าวว่า พวกเขาอยากที่จะชำระเงินโดยไม่ต้องลุกออกจากโต๊ะอาหารโดยที่ไม่ต้องยื่นบัตรให้บริการ ธุรกิจฟู้ดคอร์ทและสตรีทฟู้ดถูกจัดเป็นอันดับที่สาม (52 %) ที่ผู้บริโภคสนใจในโซลูชั่นนี้

“ลูกค้าที่ใช้บริการที่ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร และร้านค้าที่ให้บริการแบบเร่งด่วนอย่างฟู้ดคอร์ทนั้นไม่ต้องการเสียเวลาไปกับการทำธุรกรรมที่มีหลายขั้นตอน  และสำหรับผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้ ความสะดวก และรวดเร็วในการให้บริการแก่ลูกค้าถือเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด  โซลูชั่น Tap to Phone ถือเป็นทางเลือกใหม่ในการชำระเงินสำหรับธุรกิจเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขายังไม่เคยใช้การชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลมาก่อน  และเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและสร้างโอกาสทางธุรกิจ วีซ่าได้ร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อนำโซลูชั่นนี้มาให้บริการมากขึ้นในเอเชียแปซิฟิก”, คริส กล่าวปิดท้าย

 

ในปัจจุบัน วีซ่าได้มอบใบอนุญาตแก่ผู้ให้บริการเทคโนโลยีเก้าราย และยังได้ทำงานร่วมกับธนาคารและฟินเทคต่างๆ ในการนำเทคโนโลยีนี้เข้าสู่ตลาด  และล่าสุดวีซ่าและพันธมิตรได้เปิดตัวโซลูชั่น Tap to Phone แล้วที่มาเลเซีย และอินเดีย โดยจะทะยอยเปิดตัวในตลาดอื่นๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้