จับตา 3 กระแสเปลี่ยนโลกหลังยุคโควิด-19

07 ก.ค. 2563 | 09:37 น.

เอบีม คอนซัลติ้ง เผยท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากผลกระทบ  โควิด-19 ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมพร้อมฝ่ากระแส “ความไม่แน่นอน” เพื่อลดความรุนแรงของความท้าทายเฉพาะหน้า และสร้างอนาคตที่ดีกว่าในระยะยาวพร้อมความสามารถในการยืดหยุ่น ชี้ให้เห็น 3 กระแสหลักที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ในยุคโลกหลังโควิด-19

จับตา 3 กระแสเปลี่ยนโลกหลังยุคโควิด-19

นายอิชิโร ฮาระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจในรูปแบบดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ในเครือบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่าการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ ในด้านสังคม โรคระบาดดังกล่าวได้เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต การมีปฏิสัมพันธ์ การทำงาน การสื่อสารกับผู้อื่น รวมทั้งการเดินทางและการท่องเที่ยวของผู้คน  ขณะเดียวกันในด้านเศรษฐกิจ วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้การเติบโตเศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลให้ตัวเลขคนว่างงานเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นภาคธุรกิจที่กำลังเริ่มเปิดให้บริการอีกครั้งต้องเผชิญกับความท้าทายว่าจะกลับมาดำเนินธุรกิจ ในขณะที่ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร

 “สภาพเศรษฐกิจย่อมมีผลต่อภาคธุรกิจ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในรูปแบบใด ธุรกิจจะต้องเตรียมพร้อมดำเนินธุรกิจฝ่าความไม่แน่นอนต่าง ๆ  หรืออาจกล่าวได้ว่าองค์กรธุรกิจจำเป็นต้องปรับโครงการสร้างการดำเนินงานเพื่อตอบสนองอย่างต่อเนื่องต่อสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งสามารถทำให้ธุรกิจเกิดภาวะชะงักงัน นอกจากนี้ องค์กรธุรกิจยังจะต้องบรรเทาความรุนแรงของความท้าทายเฉพาะหน้าด้วยการจัดการให้มีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ปลอดภัยและมั่นคง เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในยามที่ไวรัสยังคงแพร่ระบาดอยู่ ที่สำคัญที่สุดคือองค์กรธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีการทำงานแบบใหม่ในระยะยาว และต้องมีการปรับธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาที่องค์กรธุรกิจต้องกลับไปย้อนดูองค์กรทั้งหมดในภาพรวม และคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อมุ่งเน้นความสามารถในการฟื้นตัวและเตรียมความพร้อมรับมือกับภาวะอื่น ๆ ที่อาจจะทำให้ให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักอีกครั้ง” นายฮาระย้ำ

ทั้งธุรกิจและองค์กรได้เข้ามาสู่ยุค “ความปกติใหม่” ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคหลากหลายประการ สำหรับวงการสินค้าสำหรับผู้บริโภค พฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากคนเริ่มหันไปจับจ่ายใช้สอยบนช่องทางอิเล็กทรอนิกส์แทนการซื้อของที่ร้านค้า รวมถึงความต้องการอาหารและผลิตภัณฑ์ดูแลบ้านที่เพิ่มมากขึ้น  นอกจากนี้ ด้านห่วงโซ่อุปทานต้องพบกับภาวะชะงักงันเพราะความต้องการส่งของตรงไปยังผู้บริโภคสูงขึ้น ทั้งยังมีข้อกังวลด้านสุขภาพของแรงงานและข้อจำกัดด้านการขนส่งอีกด้วย สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ผู้บริโภคหันมานิยมประสบการณ์แบบเฉพาะตัวมากขึ้น ในขณะที่ตัวแทนจำหน่ายและผู้จัดหาสินค้ากำลังประสบปัญหาในแง่ความมั่นคงทางธุรกิจและการเงิน ยิ่งไปกว่านั้น องค์กรธุรกิจเริ่มมีวัฒนธรรมใหม่ในการทำงาน เช่น การทำงานระยะไกล รวมถึงความปลอดภัยส่วนบุคคล และการคำนึงถึงความมีสุขภาพกายควบคู่กับสุขภาพใจที่ดี

 

จับตา 3 กระแสเปลี่ยนโลกหลังยุคโควิด-19

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคดังกล่าวนำไปสู่โอกาสขององค์กรธุรกิจในการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่เพื่อประสิทธิภาพและการสร้างคุณค่าทั้งภายในและภายนอกองค์กร เอบีมได้จัดทำเทคโนโลยี  13 รายการตัวช่วยให้ธุรกิจมองหาส่วนที่เป็นโอกาสในการทรานส์ฟอร์ม ดังนี้ 

ตัวช่วยเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพ:

1.         Quick Cost Optimization: เน้นดูแลรายงานทางการเงินแบบระยะสั้นเพื่อจัดทำโครงสร้างต้นทุนที่จะช่วยให้องค์กรอยู่รอดในช่วงธุรกิจฝืดตัว

2.         SAP Acceleration: ครอบคลุม SAP Resilience (Remote Implementation), SAP Signature Management, SAP i-RPA และ SAP SuccessFactors (Quick Implementation) เพื่อกระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติ เน้นความคล่องตัวและความรวดเร็วในการดำเนินงาน

3.         Remote Working Security Assessment: ลดความเสี่ยงด้านภัยคุกคามให้อยู่ในระดับต่ำสุด สร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ รองรับการทำงานระยะไกล

4.         RPAssA หรือ RPA as a Service: ปรับกระบวนการทางธุรกิจให้เป็นระบบอัตโนมัติโดยใช้ซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ ลดการทำงานแบบซ้ำ ๆ โดยคน เพื่อเพิ่มประสิทธิผลการปฏิบัติงานแบบโดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทันที

5.         AI Debt Collection: ปรับปรุงประสิทธิภาพการติดตามรับชำระหนี้ด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ออกแบบสำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่มและตอบสนองความจำเป็นทางเศรษฐกิจปัจจุบัน

ตัวช่วยด้านการสร้างมูลค่า:

1.   SAP IBP Starter Pack: เพิ่มความสามารถทางการผลิตด้วยการตอบสนองต่ออุปสงค์และอุปทานอย่างสมดุล เพื่อเป้าหมายทางผลกำไรท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

2.         Virtual Showroom Customer Experience: ส่งมอบประสบการณ์ใหม่ ในการให้บริการแนวใหม่แบบผสมผสานเทคโนโลยี Extended Reality โดยไม่มีเงื่อนไขทางกายภาพ

3.         Product Portfolio Analysis: วิเคราะห์ตำแหน่งของผลิตภัณฑ์จากข้อมูลภายในและข้อมูลภายนอกเพื่อกำหนดนิยามใหม่ให้แก่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้วยวัตถุประสงค์ในการยกระดับแบรนด์และเสริมสร้างผลกำไร

4.         Work Style Transformation:  ดำรงไว้ตลอดจนเพิ่มความสามารถในการทำงานระยะไกล ซึ่งสามารถทำงานจากที่ไหนและเมื่อใดก็ได้

5.   Elastic Business Redesign: พัฒนา ปรับระดับและประคองธุรกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนและ     ปูทางให้มีการปรับตัวทางธุรกิจครั้งใหญ่ในระยะยาวมากขึ้น

6.         New Customer Journey: โมเดลการขายและการตลาดแบบใหม่ที่เฉพาะตัวมากขึ้น เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

7.         DX Maturity Assessment: ประเมินความพร้อมด้านการปรับองค์กรเข้าสู่เส้นทางดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ตลอดจนส่งมอบแนวทางในการจัดอันดับความสำคัญของงานและการเตรียมความพร้อม

8.         Agile System Development Assessment: พัฒนาระบบงานที่ยืดหยุ่นและมีความคล่องตัวสูงให้สอดคล้องกับการปรับวัฒนธรรม องค์กร แนวทาง กระบวนการทำงานและเทคโนโลยี

สำหรับ 3 กระแสหลักที่จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกยุคหลังโควิด-19 คือการเปลี่ยนแปลงคุณค่าองค์กร แม้ว่าลัทธิบริโภคนิยมจะดำเนินต่อไปในอนาคต แต่จะมีการมุ่งเน้นเรื่องคุณค่าทางสังคมเพื่อตอบสนองชุมชน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มอื่น ๆ ด้วย กระแสที่สอง คือความเร่งด่วนในการเข้าสู่ระบบดิจิทัลเนื่องจาก   โควิด-19 สะท้อนให้เห็นโลกแห่งอนาคต ดิจิทัลจะเป็นศูนย์กลางของการมีปฏิสัมพันธ์ทั้งหมด การเข้าสู่ระบบดิจิทัลจะเป็นเรื่องเร่งด่วนมากยิ่งขึ้น กระแสที่สาม คือการปรับองค์กรเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่เป็นการรวมผลของการเร่งดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน กับการปรับกระบวนทัศน์เพื่อดำเนินงานในรูปแบบ “ความปกติใหม่” เป็นตัวกำหนดมาตรฐานใหม่ที่จะนำมาใช้ประเมินบริษัทต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ องค์กรธุรกิจจะต้องออกแบบการดำเนินธุรกิจใหม่และสร้างคุณค่ารองรับความต้องการของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก การสร้างสิ่งใหม่และเตรียมความพร้อมเหล่านี้ ต้องมีขึ้นไม่ใช่สำหรับรับมือกับ “ความปกติใหม่” เท่านั้น แต่ยังใช้สำหรับจัดการกับการที่ธุรกิจหยุดชะงักจากเหตุที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ในอนาคตอีกด้วย” นายฮาระกล่าว