เอปสัน พลิกธุรกิจพิมพ์เชิงพาณิชย์

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบัน ทุกวงการธุรกิจกำลัง เผชิญกับกระแสดิสรัปชั่น ธุรกิจการพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมก็โดนผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยกระแสที่สร้างผลกระทบมากที่สุดต่อธุรกิจการพิมพ์ หนีไม่พ้นในเรื่องการเปลี่ยนถ่ายสู่เทคโนโลยีและกระบวนการดิจิทัล หรือ Digital Transformation อีกทั้งความต้องการของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบ Customization มากขึ้น ทำให้ความนิยมในการสั่งพิมพ์งานครั้งเดียวรูปแบบเดียวในปริมาณมากๆ ลดน้อยลง ประกอบกับผู้บริโภคในปัจจุบันมักจะคำนึงถึงเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยนี้ ทำให้แวดวงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิมพ์ในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมต้องมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพราะยิ่งเวลาผ่านไปก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ เผชิญปัญหาคุณภาพของงานที่ด้อยกว่าคู่แข่ง ไม่สามารถ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว การส่งงานที่ล่าช้าไม่ทันกำหนด ทั้งยังต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยสารเคมี”

“จากการสำรวจความต้องการของกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทย เอปสันพบว่าปัญหาหลักจากการใช้ระบบการพิมพ์อนาล็อก ได้แก่ การขาดความยืดหยุ่นในการรับงานประเภทออนดีมานด์ ในกรณีของโรงพิมพ์ รวมไปถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ใช้ในกระบวนการพิมพ์สูง เช่นกรณีของกระบวนการพิมพ์ลายผ้าของโรงงานสิ่งทอ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาและข้อจำกัดอื่นๆ เช่น ความจำเป็นต้องใช้พนักงานจำนวนมากในการปฏิบัติงาน การต้องพึ่งพาทักษะและประสบการณ์ของพนักงาน ระยะเวลาในขั้นตอนการพิมพ์ที่นาน รวมถึงความต้องการด้านดีไซน์ของลูกค้ามีความซับซ้อนยิ่งขึ้น รวมไปถึงเทคโนโลยีเดิมได้มีการหยุดผลิตไปแล้ว เช่น เครื่องล้างอัดภาพที่ใช้ระบบน้ำยาในธุรกิจโฟโต้แล็บ”

นายยรรยง กล่าวต่อว่า “ เอปสันได้ออกแคมเปญ ‘Go Big on the Details’ ในภูมิภาคเอเชีย เพื่อสื่อสารไปยังผู้ประกอบการในทุกอุตสาหกรรมให้เห็นถึงความครบครันของไลน์สินค้าพรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของเอปสันที่ประกอบกันขึ้นเป็นโซลูชั่นการพิมพ์ระบบดิจิทัลที่สมบูรณ์ ตอบสนองงานในทุกไลน์ธุรกิจของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน โดยเอปสันได้คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีหัวพิมพ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่องมา 26 ปี จนเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก และมีหัวพิมพ์สำหรับการพิมพ์งานเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมโดยเฉพาะที่เรียกว่า PrecisionCore ซึ่งมีชิปควบคุมการพิมพ์ MicroTFP ที่ทำให้กระบวนการพิมพ์มีความแม่นยำสูง ได้ผลงานคุณภาพเยี่ยม ทั้งยังรองรับการพิมพ์งานขนาดใหญ่และการพิมพ์ในปริมาณมากด้วยความเร็วสูง บริษัทฯ ยังได้พัฒนา

พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมออกสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอ จนปัจจุบันมีมากถึง 37 รุ่น ครอบคลุมงานหลากหลายประเภทสำหรับวงการธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวงการแฟชั่น วิศวกรรมสถาปนิกและการพิมพ์ในองค์กร ธุรกิจสื่อป้ายโฆษณา ธุรกิจการพิมพ์ฉลากสินค้า และธุรกิจถ่ายภาพ ยิ่งกว่านั้น พรินเตอร์ของเอปสันยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ เพราะเป็นเครื่องที่ไม่ใช้ความร้อนในกระบวนการพิมพ์ (Heat Free) ทั้งยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดการสร้างมลพิษจากสารเคมี”

“แคมเปญ ‘Go Big on the Details’ จะช่วยทำให้ลูกค้ามองเห็นภาพของการเติบโตทางธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน หลังใช้โซลูชั่นการพิมพ์ระบบดิจิทัลของเอปสัน ลูกค้าจะเห็นถึงทิศทางการขยายไลน์ธุรกิจใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ เช่น การเปิดรับออร์เดอร์ที่เป็นแบบออนดีมานด์หรือมีความเฉพาะเจาะจงจากลูกค้าใหม่ สำหรับร้านรับพิมพ์ฉลาก หรือการเปิดรับพิมพ์งานสร้างสรรค์ลงบนสื่อที่มีความหลากหลายยิ่งขึ้นกว่าเดิม หรือในขนาดที่ใหญ่ขึ้น สำหรับร้านโฟโต้แล็บและร้านพิมพ์ป้ายโฆษณา หรือแม้แต่พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือบริการใหม่ของธุรกิจลูกค้าในโรงงานผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นและดิจิทัลแล็บ”

“อีกทั้งลูกค้ายังได้รับความพึงพอใจ เมื่อสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการลดต้นทุนทั้งในด้านกระบวนการผลิต ด้านพลังงาน การซ่อมบำรุงดูแลเครื่อง และการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรเพื่องานที่สร้างสรรค์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพของผู้ใช้งาน เช่น การใช้สารเคมีในการพิมพ์ระบบอนาล็อกในโรงงานสิ่งทอ ซึ่งพนักงานมีโอกาสที่จะเกิดภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบ หรืออาการที่ร้ายแรงกว่า จากการใช้สารเคมีเป็นระยะเวลาติดต่อกัน”

“เอปสัน ประเทศไทย จะทำการสื่อสารแคมเปญ ‘Go Big in the Details’ นี้ผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งทางสื่อออนไลน์และออฟไลน์ และเน้นสร้างความรู้ความเข้าใจผ่านการสร้างประสบการณ์ใหม่ในเทคโนโลยีการพิมพ์ของเอปสัน ที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจการพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจไปได้ไกลขึ้น เติบโตยิ่งขึ้น และไหลลื่นไปตามกระแสของดิสรัปชั่น และมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภค ควบคู่กับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” นายยรรยง กล่าวสรุป