กสทช.ผนึกทอท. เปิด5Gรายแรกในเอเชีย

23 พ.ย. 2562 | 05:13 น.

“กสทช.” เดินหน้าลุย 5G เตรียมเอ็มโอยู กับ AOT เพื่อทดสอบระบบโลจิสติกส์ ชี้เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปิดตัวเป็นทางการในเดือน พ.ค. ปี 63 แนะให้ผู้ประกอบการปรับตัวรับมือ ชี้ผลกระทบของดิสรัปต์ธนาคารปิดสาขาไปแล้ว 162 สาขา

 

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. 

กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ How telecom companies can winin the digital revelation ในหลักสูตร Digital Transformation for CEO (DTC) จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ , ฐานเศรษฐกิจ และ บริษัท เอ็มเฟค จำกัด (มหาชน) ว่า ในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ กสทช. จะลงบันทึกข้อตกลงร่วม หรือ MOU กับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เพื่อนำระบบ 5G ไปทดสอบระบบโลจิสติกส์ ในอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2563 จะทำให้ประเทศไทย เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เปิดให้บริการก่อนประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้ นายฐากร ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อระบบ 5G เปิดให้บริการจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเพราะมีความเร็วประมาณ 1 Gbps หรือมากกว่า 4G ถึง 100 เท่า รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลมากกว่า 1 ล้านอุปกรณ์ต่อตารางกิโลเมตร รับส่งข้อมูลแบบ Real Time นำ AR/VR มาใช้ในการสร้างรายได้เพิ่ม

ขณะที่ภาคการเงินสามารถวิเคราะห์ข้อมูล และนำเอไอ เพื่อเป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงิน บริการทางด้านการเงิน Micro payment เช่น ชำระค่าที่จอดรถ และ หนังสือพิมพ์ ส่วนภาคโลจิสติกส์ มอนิเตอร์ระหว่างภาคยานพาหนะและระบบควบคุมการจราจร ภาคการผลิตสามารถนำไปควบคุมเครื่องจักรพยากรณ์ซ่อมบำรุงเครื่องจักรได้ และภาคสาธารณสุข สามารถมอนิเตอร์ระบบส่งยาผ่านแอพพลิเคชันได้ เป็นต้น โดยในปี 2578 ระบบ 5G สร้างมูลค่าเพิ่ม 2.3 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตามแม้ปัจจุบันระบบ 5G ยังไม่สามารถให้บริการอย่างเป็นทางการ แต่ระบบ 4G ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแล้ว โดยภาคการเงินและการธนาคาร ถูกผลกระทบจากที่ผู้บริโภคทำธุรกรรม Mobile Banking แทนการเดินทางไปธนาคาร ธนาคารปิดสาขาไปแล้ว 162 สาขา จาก 4,311 สาขา ในปี 2561 เป็น 4,149 สาขา ในปี 2562 ธนาคารกสิกรไทย ปิดสาขามากที่สุด 73 สาขา เนื่องจากมูลค่าธุรกรรมชำระเงินผ่าน Mobile Banking ในปี 2553 มูลค่าอยู่ที่ 1.1 แสนล้านบาท ในปี 2561 อยู่ที่ 16.32 แสนล้านบาท มากกว่า 14,737%

อีกทั้งยังสามารถช่วยทางด้านสาธารณสุข โดย 4 โรครักษาผ่าน Tele medicine คือ ผิวหนัง ตา ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน และ ยังสามารถใช้ เอไอ วิเคราะห์ข้อมูลทางด้านสุขภาพได้อีกด้วย

นายฐากร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภาคโทรคมนาคมต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน คือ รูปแบบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป เน้นภาคอุตสาหกรรมหลาย Sectors รายได้จะมาจากภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจมากกว่าบุคคล ผู้ประกอบการต้องเริ่มมองหาโอกาสใหม่ ให้บริการประเภท Solution กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมและธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ เช่น สมาร์ท ออฟฟิศ, สมาร์ทฟาร์มมิ่ง และ สมาร์ท อินดัสตรี เป็นต้น

นอกจากนี้ 5G ยังเกิดความท้าทายธุรกิจให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานลดลง เพราะสามารถติดต่อทาง Telework ห้างสรรพสินค้าจะเปลี่ยนแปลงเป็นที่แสดงสินค้า โรงเรียน และสถาบันการศึกษาจะปิดตัวลง เพราะมีการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ และ ธนาคารปิดตัวถูกทดแทนด้วย Mobile Banking 

หน้า 15 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3525 วันที่ 24-27 พฤศจิกายน 2562