ในยุคที่โรคระบาดไวรัสโควิด -19 ทำให้หลายธุรกิจพังครืน ผู้คนต้องตกงานมากมาย แต่สำหรับธุรกิจถุงมือยางยักษ์ใหญ่ระดับท็อป 5 ของโลก กลับกลายเป็นโอกาสที่สร้างการเติบโตของรายได้อย่างมหาศาล เพราะฉะนั้น ความท้าทายในการบริหารธุรกิจสำหรับ “คุณส้ม-จริญญา จิโรจน์กุล” กรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT จึงกลายเป็นเรื่องของบุคลากร ที่ต้องสร้างกำลังคน ให้พอเพียง และมีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนธุรกิจในยามนี้ได้
ซีอีโอหญิงของ STGT บอกว่า ในสถานการณ์ปกติบริษัทสามารถสร้างรายได้เติบโตได้ต่อเนื่องทุกปี เฉลี่ยราว 12% จากตลาดรวม 3 แสนล้านชิ้น แต่สำหรับปีนี้ยอดขายเติบโตพุ่งถึง 40% เนื่องด้วยความต้องการทางตลาด ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องใช้ถุงมือยางในการทำงานอยู่แล้ว ในภาคของบุคคลทั่วไป ก็พยายามรักษาความสะอาด ลดความเสี่ยง ทำให้ปริมาณความต้องการถุงมือยางเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การเพิ่มกำลังผลิตเต็มกำลัง (full capacity) โดยปัจจุบันศรีตรังโกลฟส์มี 5 โรงงาน ใน 3 จังหวัด ได้แก่ สงขลา สุราษฎร์ธานี และตรัง
“คุณส้ม” เล่าให้ฟังว่า ได้เข้ามานั่งในตำแหน่งซีอีโอ หลังการควบรวมบริษัทระหว่าง ศรีตรังโกลฟส์ และ บริษัท ไทยกอง จำกัด (มหาชน) หรือ TK เมื่อปี 1 เมษายน 2562 โดยก่อนหน้านี้ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ ไทยกอง บริหารภาพรวมขององค์กรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งที่ศรีตรังโกลฟส์ จึงสามารถเดินหน้าธุรกิจได้ทันที โดยการเดินหน้าขยายกำลังการผลิตทั้ง ตรัง สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ สงขลา โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในองค์กรแต่อย่างใด
ความท้าทายในการบริหารธุรกิจ ขณะที่การควบรวมธุรกิจทำให้ปริมาณบุคลากรเพิ่มขึ้นเป็น 7,500 คน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนธุรกิจในปัจจุบัน เพราะยังมีปัญหาในบางโรงงาน ที่ยังแก้ไขได้ไม่เป็นไปตามเป้า ในฐานะผู้นำ ก็ต้องเข้าไปพูดคุย ให้คำปรึกษา ช่วยแก้ไขทุกอย่างให้เดินหน้า
“เราเติบโตมาในสายการผลิตเกือบ 20 ปี สิ่งสำคัญ คือ การกระทำสำคัญกว่าคำพูด เราต้องทำให้เห็น เราสู้ คิด และทำได้ เอาใจใส่ พยายามเรียนรู้กับทุกๆ อย่าง เป็นคนที่ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว”
ตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็มที่เข้ามาทำหน้าที่ สิ่งที่ทำคือการปรับตัวเองให้เข้ากับทีมงาน ด้วยการเรียนรู้ในสิ่งที่เขาเป็นอยู่ ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากทุกคนเป็นอย่างดี
ในขณะที่ตลาดแรงงานค่อนข้างขาดแคลน โดยเฉพาะแรงงานที่เป็นกำลังในการบรรจุ และเรียงผลิตภัณฑ์ ซึ่งงานในลักษณะนี้ คนไทยไม่ค่อยสนใจที่จะทำ เพราะฉะนั้นจึงต้องเลือกจ้างแรงงานต่างด้าว ที่มีราว 40% ของพนักงานทั้งหมด และอีกหนึ่งในแนวทางการแก้ไข คือ การนำเทคโนโลยีระบบโอโตเมชันเข้ามาเสริม ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนในส่วนนี้ไปประมาณ 100 ล้านบาท หรือประมาณ 10% ของเงินลงทุนทั้งหมด
สำหรับในช่วงที่โควิด -19 ยังแพร่ระบาด การทำงานของทีมศรีตรังโกลฟส์ยังทำงานปกติ แต่เพิ่มมาตรการคัดกรองในแต่ละจุด การเว้นระยะห่างตามมาตรฐาน ทุกคนที่เข้าทำหน้าที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกคน
ซีอีโอ ศรีตรังโกลฟส์ บอกว่า หลังโควิด-19 ยังเห็นโอกาสการขยายตัวของธุรกิจต่อเนื่อง เพราะพฤติกรรมคนส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไป คนจะระมัดระวังตัวมากขึ้น สิ่งที่ศรีตรังโกลฟส์ต้องทำคือ การศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคและสนองตอบ โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการวิจัย และพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด อาทิ ถุงมือยางหลากสี และอนาคตจะพัฒนาไปถึงถุงมือยางที่มีกลิ่น
เป้าหมายสูงสุดของผู้นำท่านนี้ คือ การสร้างคนให้ทันกับความต้องการขององค์กร และให้ทุกคนมีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ สามารถเติบโตก้าวหน้าในอาชีพ
ส่วนในมุมของธุรกิจ คือการสร้างเติบโตให้กับองค์กร โดยเป้าหมายคือการก้าวสู่ท็อป 3 ของผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยางในตลาดโลกภายในปีหน้า นอกจากนี้ ยังมีแผนการเพิ่มกำลังผลิต โดยตั้งเป้าภายในปี 2568 จะเพิ่มกำลังผลิตอีก 2 หมื่นล้านชิ้น ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตทั้งหมด 5 หมื่นล้านชิ้นต่อปี และศรีตรังโกลฟส์จะเดินหน้ากระบวนการจำหน่ายหุ้นหลังผลประกอบการ Q1/2563 ออก ซึ่งหากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มฟื้นตัว คาดว่าบริษัทจะเดินได้ตามแผนเดิม คือเข้าจดทะเบียนได้ช่วงกลางปีนี้ โดยขณะนี้ ก.ล.ต. อนุมัติคำขอเรียบร้อยแล้ว
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 หน้า 24 ฉบับที่ 3,572 วันที่ 7 - 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2563