ทายาทรพ.นวมินทร์ 9 "ดร.พิมพ์ขวัญ บุญจิตต์พิมล" พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

23 ม.ค. 2559 | 11:00 น.

การทำธุรกิจ ความผิดพลาด ถือเป็นสิ่งธรรมดาที่ทุกๆ คนต้องเจอ จะเร็วหรือช้า ผิดพลาดมากหรือน้อย ผิดแล้วแก้ไขความผิดพลาดได้หรือเปล่า นั่นอยู่ที่ความพร้อมของแต่ละบุคคล และสิ่งสำคัญ คือเมื่อเกิดความผิดพลาดแล้ว สามารถลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่ได้หรือเปล่า นั่นคือสิ่งสำคัญ

"ดร.พิมพ์ขวัญ บุญจิตต์พิมล" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไวทัลโกร จำกัด และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดระหว่างประเทศ โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 ทายาท น.พ.ประจักษ์-คุณวราภรณ์ บุญจิตต์พิมล ซึ่งมีธุรกิจในเครือมากมาย ทั้งโรงพยาบาล คลินิก โรงแรม อาคารให้เช่า ทายาทดีกรีดอกเตอร์คนนี้ วัยเพียง 26 ปี เท่านั้น แต่ความสามารถและความ Aleart ของเธอ นำหน้าตัวเลขอายุมากมาย ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ไฟแรง กล้าคิด กล้าทำและกล้าลอง ทำให้เธอเรียนรู้หลายๆ อย่างได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสามารถบริหารธุรกิจของครอบครัว ควบคู่กับการเริ่มสร้างธุรกิจที่รักของตัวเองได้ไปพร้อมๆ กัน



สาวน้อยคนนี้จบปริญญาเอก สาขาสาธารณสุขศาสตร์(Public Health) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอบอกเลยว่า เป็นความรักและความสนใจตั้งแต่เด็กทั้งด้านสุขภาพและความงาม เธอจึงเลือกที่จะศึกษาเสริมความรู้ด้วยสาขาวิชานี้ และเธอก็คลุกคลีอยู่กับการทำงานของพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก รวมถึงเข้ามาช่วยดูแลงานบัญชีให้กับคุณพ่อเมื่อเรียนจบ ทำให้ได้ซึมซับระบบการทำงานมาเป็นอย่างดี ก่อนที่จะเข้ามาช่วยงานเต็มตัวด้านการตลาดต่างประเทศ เมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา จากก่อนหน้านี้ ที่เคยทำงานด้านพิธีกรและผู้ดำเนินรายการที่ TNN Thailand และเคยเป็นผู้ประกาศข่าว และ นักการตลาด ช่อง Money Channel มาแล้ว ความรู้ด้านความงาม สุขภาพ การเงิน และการตลาด จึงนำมาผสมผสานเข้ากันเป็นอย่างดี

กอรปกับความที่เป็นคนชอบลอง กล้าเสี่ยง มี Passion ด้านสุขภาพและความงาม นอกเหนือจากการช่วยธุรกิจของครอบครัวแล้ว เธอจึงขยายออกมาสร้างธุรกิจของตัวเอง ชื่อ VITALGLOW ศูนย์สุขภาพและความงาม SKIN&AESTHETIC ภายใต้โรงพยาบาลนวมินทร์ 9
 

แม้เพิ่งจะเปิดให้บริการได้เพียง 5-6 เดือน แต่เธอก็สามารถสร้างรายได้จนคืนทุน และทำกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกเดือน และเธอกำลังแตกไลน์ธุรกิจไปสู่การเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อีก 2 แบรนด์ คือ ดิ ออร่า และ ออแกนิค ซึ่งกำลังจะวางตลาดภายในเดือน 2 เดือนนี้

การคิดเร็วทำเร็วของคนรุ่นใหม่คนนี้ เธอบอกเลยว่า มันเกิดจาก Passion ความชื่นชอบเรื่องความงามและสุขภาพ ซึ่งตัวเธอเอง เป็นหนูทดลองมาแล้วทั้งผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับความงาม เคยแม้กระทั่งถูกหลอกจากพวกหมอกระเป๋า...ความกล้าเสี่ยง กล้าลอง ทำให้เธอได้เรียนรู้ และถือเป็นการเรียนรู้ที่รวดเร็วและเห็นผล ทำให้เข้าใจทั้งระบบตลาด และความต้องการของผู้บริโภค และเธอยังมีโอกาสได้เรียนรู้วิธีการทำตลาดใหม่ๆ จากพาร์ตเนอร์ที่ร่วมทำธุรกิจด้วยกัน
 

"ดร.พิมพ์ขวัญ" เตรียมวางตลาดผลิตภัณฑ์ ดิ ออร่า และ ออแกนิค ด้วยรูปแบบการตลาดที่แตกต่าง สำหรับดิ ออร่า จะเน้นการทำตลาดระยะยาว ขายไปเรื่อยๆ และขยายช่องทางจัดจำหน่ายทั้งแบบเคาน์เตอร์ ทางออนไลน์ และขายตรง ซึ่งจะทำต่อไปในอนาคต ส่วน ออแกนิค เน้นการทำตลาดระยะสั้น ด้วยการผลิตตูมเดียว 1 ล้านชิ้น แล้วจำหน่ายให้หมด ไปเปิดตลาดที่ประเทศอังกฤษก่อน แล้วค่อยนำเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย เป็นการสร้างตลาดแบบพรีเมียม จับตลาดระดับ บี ขึ้นไป
 

ในแง่การขยายธุรกิจ เธอก็ไม่มองว่าจะต้องขยายในไทย เพราะคู่แข่งเยอะ และแนวโน้มของผู้สูงอายุก็เยอะขึ้น เพราะฉะนั้นตลาดใหม่อย่างอาเซียน ประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นตลาดที่น่าสนใจ ไม่เพียงแค่ธุรกิจความงามของเธอเท่านั้น แต่รวมถึงธุรกิจคลินิกโรงพยาบาลของครอบครัวด้วย ที่เริ่มมองตลาดเออีซีแล้วเช่นกัน แต่สิ่งสำคัญสำหรับรูปแบบการทำธุรกิจของผู้หญิงคนนี้คือ ไม่ทุ่มลงทุนทีละมากๆ เพื่อสร้างกำไรก้อนใหญ่ แต่เป็นการค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ลงทุน เมื่อประสบความสำเร็จจึงเดินหน้าต่อ ลงทุนแล้วได้กำไรแน่ๆ แบบนั้นจึงจะทำ
 

"เราเน้นทำธุรกิจต้องคืนทุนเร็ว ไวทัลโกร เราก็คืนทุนภายใน 6 เดือน เราต้องทำการบ้านมาพอสมควร ศึกษา ฟังหลายๆ คน การศึกษาของเราคือพูดคุยกับคน แล้วเวลาที่เราทำ จะล้มเหลวหรือไม่ล้มเหลว เราต้องมั่นใจในการกระทำของเรา พิมพ์จะไม่เสียใจ ก่อนจะเริ่มต้นทำธุรกิจ ไม่นานนะ คิดอยากทำก็ทำ กล้าลุย เพราะขนาดไปเรียนโน่นนี่ เสียตังค์หลายล้าน แต่อันนี้เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงเลย"


แนวการทำงานของ "พิมพ์ขวัญ" เป็นแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ที่คิดเร็วทำเร็ว แต่เมื่อถามถึงความผิดพลาด เธอบอกยังไม่เคยผิดพลาด แต่ก็ไม่ได้ประมาท เพราะทุกครั้งที่จะทำอะไรต้องศึกษามาพอสมควร และเตรียมแผนสำรองไว้เสมอ แต่ถ้าพลาดจริง เธอก็พร้อมที่จะลุกขึ้นใหม่ และนี่แหละ คือข้อได้เปรียบ
 

"พิมพ์เป็นคนปล่อยวางง่ายมาก เรามีแผนหนึ่ง แผนสองตลอด เราต้องรู้ว่าพลาดแล้วทำอย่างไร ที่สุดแล้ว ถ้าเราขาดทุนเยอะๆ ก็คิดว่าตัวเองเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ คนที่สามารถรีคัฟเวอร์ได้เร็ว จะได้เปรียบ มันเกิดขึ้นไปแล้ว แต่เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด และเวลาทำอะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุด"
 

"ดร.พิมพ์ขวัญ" บอกว่า เธอได้ต้นแบบการทำงานและการใช้ชีวิตมาจากพ่อ พ่อเป็นต้นแบบ ในทุกๆ ด้าน การใช้ชีวิต เดินสายกลาง สมถะ นั่งกินข้าวกับคนขับรถ เขาไม่แบ่งชนชั้น พ่อเป็นคนสุขุม ดิว กับคนและอ่านคนออก อ่านคนทะลุ แต่ไม่ค่อยพูด นี่คือจุดต่าง เพราะเธอบอกว่าเธอคิดอะไรจะพูดอย่างนั้น และพูดเลย
 

ผู้บริหารสาวยุคใหม่คนนี้ มีแนวคิดที่ชัดเจนว่า การจะเรียนรู้จากประสบการณ์จริงจะดีและชัดเจนที่สุด ตอนเรียนทฤษฎีทุกอย่าง แต่เมื่อมาปฏิบัติจริง ทฤษฎีต้องปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และปัญหาใหญ่และละเอียดอ่อนมากของการบริหารก็คือ คน เรื่องนี้ไม่มีตำราสอน ต้องใช้ประสบการณ์ เธอบอกเลยว่า...เวลาเท่านั้นจะทำให้เราเก่งขึ้น



เพราะฉะนั้น การเรียนรู้บนเส้นทางธุรกิจของ "พิมพ์ขวัญ บุญจิตต์พิมล" ยังต้องเดินทางอีกไกล เพราะนี่ยังเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น แต่การเรียนรู้แนวทางลัดจากประสบการณ์จริง นั่นคือสิ่งที่ท้าทาย และต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเลยทีเดียว
 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,124 วันที่ 21 - 23 มกราคม พ.ศ. 2559