เอสซีฯเร่งเครื่องตลาดบ้านหรู ปรับแผนเพิ่มโครงการใหม่ครึ่งปีหลัง/ปั้น 2 แบรนด์แนวราบ

11 ส.ค. 2559 | 06:00 น.
เอสซี ไม่หวั่นแม้ยอดรีเจ็กต์เพิ่มกว่า 10% ลั่นเดินหน้าลุยตลาดบ้านหรูต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 59 ปรับแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่ม พร้อมปั้น2 แบรนด์แนวราบใหม่ หวังขยายเซ็กเมนต์ระดับ 15-50 ล้านบาท ย่านกลางเมือง มั่นใจปีนี้กวาดรายได้ 1.5 หมื่นล้านตามเป้า

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกปี 2559 ว่า บริษัทสามารถทำรายได้มากกว่า 50% ของเป้าหมายรายได้รวมปี 2559 ที่ตั้งไว้ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยเป็นผลมาจากผลประกอบการไตรมาส 1/2559 ที่มีรายได้รวม 3,327 ล้านบาทเติบโตถึง 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ผลต่อเนื่องจากมาตรการภาษีอสังหาฯ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมได้แก่ โครงการเซ็นทริค ซี พัทยา, เซ็นทริค ห้วยขวางสเตชั่น และโครงการเซ็นทริค อารีย์สเตชั่น ที่สามารถทำได้เกินเป้า

ประกอบกับยอดขายรวมแนวราบในช่วงครึ่งปีเติบโตขึ้นประมาณ 7% จากช่วงเดียวกันของปี 2558โดยเฉพาะแนวราบระดับราคาต่ำกว่า 15 ล้านบาทที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นเติบโตมากกว่า 60% ในขณะที่ยอดปฏิเสธสินเชื่อช่วงครึ่งปีแรกก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน โดยในปี 2559 บริษัทมียอดปฏิเสธสินเชื่อรวมอยู่ที่ 9.8% แบ่งเป็นยอดปฏิเสธที่มาจากโครงการแนวราบ 11.3% แนวสูง 2.7% ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 ยอดปฏิเสธสินเชื่อรวมอยู่ที่ 4.8% มาจากโครงการแนวราบ 5.2% และโครงการแนวสูง 0.5%

แม้ยอดปฏิเสธสินเชื่อจะปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่ยอดจองและยอดเข้าชมโครงการเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยยอดจองปรับขึ้น 27% และยอดเข้าชมโครงการเพิ่มขึ้น 24% แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นในสภาพเศรษฐกิจมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงทำการปรับแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มจากเดิม 10 โครงการเป็น 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท

โดยปรับเพิ่มในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม จากเดิม 2 โครงการใหม่เป็น 3 โครงการ ในส่วนแนวราบยังคงจำนวน 8 โครงการเท่าเดิม ซึ่งในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 5โครงการ มูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 4 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ ดังนั้นในช่วงครึ่งปีหลังจะพัฒนาอีก 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 4 โครงการ รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท ประกอบด้วย แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9 , แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ราชพฤกษ์-พระราม 5 , เดอะเจนทริ สุขุมวิท ,เฮดควอเตอร์ส และคอนโดมิเนียมจำนวน 2 โครงการ มูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการทเวนตี้เอทชิดลม และแชมเบอร์ส เฌอ รัชดา-รามอินทรา

“โครงการแนวราบที่เปิดขายใหม่ บริษัทได้มีการเพิ่มแบรนด์สินค้าอีก 2 แบรนด์ ได้แก่ The Gentry Sukhumvit (เดอะเจนทริ สุขุมวิท) โครงการบ้านหรู 3 ชั้น ตั้งอยู่บริเวณซอยสุขุมวิท 101 ใกล้กับสถานีบีทีเอสปุณณวิถี พื้นที่โครงการ 16-0-3 ไร่ มูลค่า 1,300 ล้านบาท จำนวน 57 หลัง ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท และ Headquaters(เฮดควอเตอร์ส) จำนวน 5 ชั้น พร้อมลิฟต์ ย่านทาวน์อินทาวน์ ขนาดพื้นที่ 6-2-38.6 ไร่ มูลค่า 850 ล้านบาท เพียง 29 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 28 ล้านบาท เหตุที่บริษัทมีการพัฒนาแบรนด์ใหม่ขึ้นมา เพราะต้องการขยายเซ็กเมนต์สินค้าระดับลักชัวรีระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาทย่านกลางเมือง ซึ่งเดิมบริษัทไม่มีสินค้าในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่รอบนอก" นายณัฐพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ โครงการใหม่ทั้งหมดจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/2559 มีเพียงโครงการเดียว คือ โครงการแกรนด์ บางกอกบูเลอวาร์ดราชพฤกษ์-พระราม 5 ที่ได้เปิดพรีเซลไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้ในปัจจุบันบริษัทมีโครงการพัฒนาเพื่อขายมีจำนวนทั้งหมด 44 โครงการ มูลค่ารวม 4.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 32 โครงการ และคอนโดมิเนียม 12 โครงการ

สำหรับสถานการณ์ในช่วงครึ่งหลังปี 2559 นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "แม้เราจะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหลายอย่าง แต่เรามั่นใจว่าปีนี้ บริษัทจะสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าหมาย 1.5 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน เพราะภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก คาดการณ์ GDP เติบโตมากกว่า 3% มีดัชนีหลายตัวดีขึ้นและส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาฯ ได้แก่ การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนดีขึ้น สถานการณ์หนี้ครัวเรือนดีขึ้น การเติบโตของหนี้ครัวเรือนชะลอตัวลง เหลือต่ำกว่า 5% สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ณ ไตรมาส 1/2559 ลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี เหลือ 81.1% ประชาชนเริ่มมีความสามารถในการกู้ซื้อบ้านมากขึ้น เพราะหนี้เริ่มลด ส่งผลบวกต่อธุรกิจอสังหาฯ อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพระยะยาว ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ เราจะเติบโตอย่างยั่งยืน คุณภาพจะเติบโตควบคู่ไปกับปริมาณลูกค้าที่มากขึ้นทุกปี"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,182 วันที่ 11 - 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559