เฟรเซอร์ส ฯ ทุ่ม 1.5 หมื่นล. ขยายพอร์ตคลังสินค้า-โรงงาน 4 ล้าน ตร.ม.

14 มิ.ย. 2564 | 09:16 น.

อสังหาฯเจ้าสัวเจริญ เฟรเซอร์ส ไทยฯ ส่ง FPIT เขย่าตลาดอุตสาหกรรม รับพื้นที่โรงงาน - คลังสินค้าโตแรงหลังโควิด เปิดกลยุทธ์ ‘น่านน้ำสีม่วง’ 5 ปี ทุ่มงบราว 1.5 หมื่นล้านบาท วางแผนขยายพอร์ตฯ รวม 4 ล้าน ตร.ม.

นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “FPIT” ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ของประเทศไทย ในเครือบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” ของกลุ่มเจ้าสัว เจริญ สิริวัฒนภักดี เผยทิศทางผลประกอบการธุรกิจปี 2564 พร้อมกลยุทธ์และเป้าหมายการดำเนินงานในอีก 5 ปีข้างหน้า

ว่า ที่ผ่านมา FPIT ได้มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้สร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจผ่านกระบวนการ Business Transformation เพื่อปรับรูปแบบการทำงานให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เรามีทั้งความพร้อมและความสามารถที่จะแข่งขันในทุกโอกาส และส่งผลให้ FPIT ยังคงรักษาความเป็นผู้นำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยปัจจุบันมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งสิ้นรวมกว่า 3 ล้าน ตารางเมตร ทั้งยังมีอัตราการเช่าที่สูงถึงกว่าร้อยละ 82 ในปี 2564

ทั้งนี้ หลังสถานการณ์โควิด19 พบเป็นทั้งโอกาส และความท้าทายในการแข่งขัน สำหรับตลาดพื้นที่อุตสาหกรรม จากการขยายตัว เติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มธุรกิจอิคอมเมิร์ซของไทย และแนวโน้มการขยับเข้ามา ปักหลักลงทุน ฐานการผลิตใหม่ในไทย ในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ทั้งในกลุ่มอิเล็กทรนิกส์ และ ออโตโมทีฟ มากขึ้น ทำให้การแข่งขันในตลาดมีความรุนแรงขึ้น ผ่านกลยุทธ์ด้านราคา จากเดิมที่เปรียบเป็นธุรกิจบลูโอเชี่ยน ได้กลายเป็นเรดโอเชี่ยนแล้วในปัจจุบัน 
 

ฉะนั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ FPIT ได้กำหนดยุทธศาสตร์ “เราพร้อม” (We are ready) และ “เราต่าง” (We are different) เป็นส่วนหนึ่งของ กลยุทธ์น่านน้ำสีม่วง ภายใต้เป้าหมายระยะ 5 ปีข้างหน้า ผ่านการตั้งเป้าเติบโตราว 10-15% ต่อปี ในแง่ของรายได้ ขณะอัตราการเช่าอยู่ที่ 85-90% ต่อปี และงบการลงทุนใหม่ราว 1.5 หมื่นล้านบาท หรือ ปีละ 2.5-3.5 พันล้านบาทต่อปี  สำหรับการขยายพอร์ตพื้นที่โรงงานและคลังสินค้ารวมทั้งสิ้น 4 ล้านตร.ม. 

ขณะในแง่การดำเนินงานด้านนั้น จะเน้นกลยุทธ์ ดังต่อไปนี้

การสร้างความพร้อม:

• เพิ่มทำเลศักยภาพเชิงอุตสาหกรรมเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน  

•สานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความสามารถเฉพาะด้าน เพื่อต่อยอดด้านการให้บริการลูกค้าในรอบด้าน อาทิ การเสริมบริการระบบออโตเมชั่น การบริหารทรัพย์สิน และการพัฒนาธุรกิจใหม่

•การปรับปรุงอาคารโรงงานและคลังสินค้าปัจจุบันให้มีความทันสมัยและพร้อมตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของลูกค้าในปัจจุบัน ภายใต้โครงการ Asset Enhancement Initiative (AEI) 

•ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อสร้างความพร้อมในการให้บริการลูกค้าในทุกตลาด โดยปัจจุบันได้ลงทุนแล้วที่ประเทศอินโดนีเซีย ใกล้กรุงจาการ์ตา และในประเทศเวียดนาม ที่เมืองบินห์เยือง โดยใช้ประสบการณ์และความสามารถของบริษัทฯ ไปสร้างระบบนิเวศของธุรกิจในต่างประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

•พัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับการดำเนินงานที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยเน้นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้สมัยใหม่ อาทิ Design Thinking, Customer Centric และ Human Centric เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม และมุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ Big Data และ เทคนิคการทำ Asset Management

•สร้าง PropTech Platform  โดยนำการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอาคาร เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการด้วยแนวคิดอาคารอัจฉริยะ (Smart Building)
 

การสร้างความแตกต่าง:

•เดินหน้าพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทางด้านอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย อาทิ โครงการ In-Property Logistics และโครงการ In-City Logistics เพื่อย่อขนาดพื้นที่โลจิสติกส์เข้าสู่ในเมือง และในขณะเดียวกัน ก็เตรียมการออกแบบเพื่อขยายขนาดการพัฒนาพื้นที่ขนาดใหญ่ อาทิ โครงการเมืองอุตสาหกรรม (Industrial Township) ที่เป็นการรวมอสังหาริมทรัพย์หลายประเภทเข้าไว้ในพื้นที่พัฒนาเดียวกัน
 
•มุ่งพัฒนาการดำเนินงานตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) โดยได้จัดทำนโยบาย Green Development Policy เพื่อให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบ และมีความยั่งยืนในด้านการบริหารจัดการ รวมถึงการขยายการลงทุนในระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อรองรับดีมานด์ของลูกค้าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามแนวทางความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

• พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ในการให้บริการพื้นที่อาคารอุตสาหกรรม อาทิ รูปแบบ Co-Warehousing หรือ Flexible Space เพื่อรองรับความต้องการพื้นที่จัดเก็บที่มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนการพัฒนาการให้บริการที่รองรับระบบ Smart Storage ด้วยการใช้ IoT มาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

“แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะได้รับอานิสงค์จากสงครามการค้าและสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทำให้เราเติบโตอย่างน่าพึงพอใจ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับการประยุกต์ใช้กลยุทธ์และยุทธศาสตร์ใหม่ของ FPIT นี้ เรามั่นใจว่าบริษัทฯจะสามารถสร้างการเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง 

ซึ่งจะทำให้เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) มีรายได้เติบโตร้อยละ 10-15 ต่อปี และสามารถขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านตารางเมตร ภายในปี 2568 โดย FPIT จะยังเดินหน้าพัฒนาโครงการที่รองรับทุกความต้องการของลูกค้า ตามแนวคิด การสร้างสรรค์พื้นที่แห่งแรงบันดาลใจที่เอื้อให้ธุรกิจของลูกค้าดำเนินไปได้อย่างไร้รอยต่อ หรือ Inspiring Seamless Business Solution Experience ในทุกสภาวการณ์” นายโสภณ กล่าวเสริม

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง