LPN เร่งระบายสต๊อค 1หมื่นล.

28 ม.ค. 2563 | 05:50 น.

LPN กาง 3 ยุทธศาสตร์ฝ่าตลาดอสังหาฯชะลอตัว สร้างรายได้-เพิ่มกำไร ขยายฐานรายได้ประจำ และบริหารสภาพคล่องทางการเงิน ปี63 รุกเปิดใหม่อีก 10 โครงการ มูลค่าโครงการ 1.3 หมื่นล้านบาท แนวราบเน้นระดับราคา 5 ล้านบาท คอนโดกลุ่มราคา 1-3 ล้านบาท  

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีแห่งความท้าทายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และบริษัท จากสภาพเศรษฐกิจและมาตรการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลให้กำลังซื้อลดลง โดยประเมินภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ปี 2563 จะติดลบ 3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตามทิศทางของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 2.5-3.0% ในปีนี้  

สำหรับแผนงานปี 2563 จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเน้นใน 3 ประเด็นหลัก เริ่มที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการนำคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จมาปล่อยเช่า รวมทั้งเร่งการขายและโอนโครงการที่สร้างเสร็จที่มีมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทั้งนี้ ประมาณว่าจะเร่งระบายสินค้าในกลุ่มนี้ได้ไม่น้อยกว่า 50% ของมูลค่าที่มีอยู่

ถัดมา เน้นการขยายฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจบริการ ทั้งการบริหารจัดการอาคาร การก่อสร้าง งานที่ปรึกษา วิจัยและพัฒนา ผ่านบริษัทในเครืออย่าง บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด, บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด และบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด โดยการขยายฐานลูกค้าจากธุรกิจบริการทั้งในส่วนของการบริหารอาคารโครงการ และงานบริการด้านวิศวกรรม จากที่ให้บริการเฉพาะในส่วนของ LPN  ไปสู่ตลาดภายนอก เพื่อขยายฐานรายได้ของธุรกิจในกลุ่มนี้ โดยตั้งเป้ารายได้ในส่วนนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 20% ในปี 2563 เมื่อเทียบกับ ปี 2562

สุดท้าย การบริหารสภาพคล่องทางการเงิน บริษัทมีนโยบายการบริหารสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) ในสัดส่วนไม่เกิน 1:1 เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัท ขณะดียวกันบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ โดยมีต้นทุนดอกเบี้ยอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำกว่า 3% ลดลงจาก 4% เป็นผลมาจากการจัดเครดิตเรตติ้งของบริษัทที่อยู่ที่ A- โดยทริส เรสติ้ง ซึ่งสะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่มีความมั่นคง  

ลุมพินี พาร์ค พหลฯ32 โครงการสร้างเสร็จล่าสุด
 

นอกจากนี้ในปี 2563 บริษัทมีงบลงทุนในการซื้อที่ดิน 4,000 ล้านบาท โดยกลยุทธ์ซื้อที่ดินของบริษัทเรียกว่า”กลยุทธ์เข้าซอย” เลือกซื้อที่ดินที่อยู่ในซอยแต่ไม่ไกลจากถนนใหญ่ หรือแนวรถไฟฟ้ามากนัก ซึ่งมีระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด และตอบโจทย์กับกำลังซื้อและความต้องการของลูกค้าที่มีในตลาดปัจจุบัน โดยทั้งปีมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่าประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท

“ปีนี้ให้ความสำคัญกับโครงการแนวราบที่ยังมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะบ้านแฝดที่ให้อารมณ์บ้านเดี่ยวในเมือง ระดับราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท  ส่วนคอนโดมิเนียมจะเน้นระดับราคาที่ 1-3 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว มั่นใจว่าปี 2563 เป็นอีกปีที่เราสามารถรักษาอัตราการเติบโตธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง”

ด้านนายอภิชาติ เกษมกุลศิริ กรรมการบริหารและหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน กล่าวเสริมว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตในระดับ 2-4% และตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง แต่บริษัทมั่นใจปีนี้สามารถทำยอดขายได้ 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 7,000 ล้านบาท หรือเติบโต 30% ขณะที่รายได้ใกล้เคียงปีก่อน

“ช่วง 3 ไตรมาสแรกปีก่อน เราไม่มีรายได้จากโครงการที่สร้างเสร็จ แต่สามารถอยู่ได้จากการขายสินค้าคงค้าง กับอีกส่วนจากรายได้การบริหารจัดการอาคารโครงการ ซึ่งปีนี้จะขยายฐานรายได้กลุ่มนี้ให้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้มีโครงการที่สร้างเสร็จล่าสุด ลุมพินี พาร์ค พหลฯ32 ปัจจุบันมีลูกค้าโอนแล้ว 30%”