2563...ก้าวสำคัญ ยักษ์ ‘โนเบิล’

28 ม.ค. 2563 | 04:00 น.

ผ่ามุมคิด

สภาพตลาดที่ไม่ง่ายอีกต่อไป สำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เกิดภาพการเปลี่ยนแปลงในแผนธุรกิจของรายเล็ก-รายใหญ่ ไม่ต่างจากยักษ์ใหญ่บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หลังปีที่ผ่านมา เป็นปีแห่งการปรับเปลี่ยนและตื่นตัว สร้างผลประกอบการตัวเลขดีกลับมาอีกครั้ง ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท วันนี้ นายธงชัยบุศราพันธ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ระบุ ปี 2563 จะเป็นอีกก้าวสำคัญของโนเบิล พร้อมเป้าหมายใหม่ Top5 ของตลาด ผ่านกลยุทธ์ตลาดต่างชาติแข็งแกร่ง-จับมือพันธมิตรรายใหญ่ และยอมทลายกำแพงเซ็กเมนต์ สู่โปรดักต์ครบกลุ่มมากขึ้นเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้ผู้ถือหุ้นและกลุ่มลูกค้า หันมานิยมบริษัทเพิ่มขึ้นนั่นเอง

อสังหาฯปีดุ

ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมของปี 2563 คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าปีก่อนหน้า และคาดหวังไม่ให้เลวร้ายไปกว่านี้ เพราะภาพของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว กระทบกำลังซื้อ แต่อย่างไรก็ตาม ถือจังหวะที่ดีมากของผู้บริโภคในตลาดที่อยู่อาศัย เนื่องจากสามารถเลือกหา, ซื้อของในราคาที่ดีได้ หากมีความพร้อมด้านการเงิน ส่วนปัจจัยหนุนพอมีอยู่บ้าง จากหลายสิ่งที่รัฐบาลกำลังสานต่อ เช่น นโยบายอีอีซี ที่น่าจะกระตุ้นตัวเลขเศรษฐกิจให้ดีขึ้น อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยในระดับตํ่า ยังเป็นตัวพยุงตลาดอสังหาฯ ให้ขับเคลื่อนต่อไปได้ และเมื่อมองถึงต้นทุนประกอบการ ไม่มีความน่ากังวล เพราะทั้งต้นทุนที่ดินและค่าก่อสร้าง ไม่มีแนวโน้มปรับตัว โดยสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของตลาด มองว่าของที่พัฒนาออกมาจะขายออกหรือไม่?” คงได้เห็นหลายบริษัทปรับตัว ขณะแนวโน้มการปลดล็อก แอลทีวี ของแบงก์ชาติ นับเป็นสัญญาณดี คลายความกังวลผู้ซื้อ สร้างจิตวิทยาในการลงทุน และน่าจะกระตุ้นตลาดในจังหวะนี้ได้

คงได้เห็นการชะลอเปิดโครงการใหม่ และหันไปโฟกัสกับโครงการที่ทำกันมากขึ้น ผ่านโปรดักต์และโลเกชันที่มีความแตกต่างไปจากอดีต ขณะเดียวกัน มองกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ยังเป็นเป้าของหลายๆ บริษัท ที่อยากจะจับ แต่ก็คงไม่ง่ายเหมือนอดีต

กลยุทธ์พิชิตตลาด

สำหรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจนั้น หลังจากช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทมีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้บริหาร และสัดส่วนผู้ถือหุ้นใหม่ ปั้นรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1.5 หมื่นล้านบาท ติด Top10 ของตลาด ผ่านการขายสินทรัพย์ ผุดแบรนด์ใหม่ และเพิ่มช่องทางการขายไปยังกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ปี 2563 ยังคงเดินเกมบุก แต่เป็นการบุกในสถานการณ์ที่จะเป็นไปได้ ด้วยความระมัดระวังทั้งในแง่ของ 1)เงินทุน ระยะสั้น และระยะยาว เพราะมีส่วนสำคัญต่อการประกอบธุรกิจอสังหาฯ 2)ระมัดระวังตลาด ผ่านการกระจายกลุ่มลูกค้า และจับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เพื่อช่วยในการกระจายโปรดักต์ ลดเสี่ยงการพึ่งพากำลังซื้อแค่ในประเทศเท่านั้น และ 3) การบริหารต้นทุนที่ดี เพิ่มนำนวัตกรรม, เทคโนโลยีใหม่ๆ มาสู่การพัฒนาโครงการ โดยมีเป้าหมายสำคัญในระยะ 3-5 ปี คือ การไต่ระดับขึ้นสู่ Top 5 ของตลาด (ปัจจุบันอันดับ 7 ของตลาด) ด้วยยอดขายต่อปี 1.5-2 หมื่นล้านบาท โดยจะเห็นภาพชัดเจนในช่วงปี 2565-2567 ผ่านการจับมือกับพันธมิตรใหญ่ และเพิ่มเครือข่ายการขายในต่างประเทศ ที่เดิมมีมากถึง 470 ช่องทาง เช่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น

ธงชัย 
บุศราพันธ์

 

 

พันธมิตรดีมีชัย

นายธงชัย กล่าวต่อว่า ในแง่ของการมีพันธมิตร หรือ พาร์ตเนอร์เข้ามาร่วมในการพัฒนาโครงการ เช่น กลุ่ม ยูซิตี้ (บีทีเอสกรุ๊ป) ถือเป็นจุดสำคัญของบริษัท และเป็นนิมิตหมายที่ดีในการสร้างกลไกการเติบโตของบริษัท เพราะยูซิตี้ มีจุดแข็งทั้งเรื่องการเงิน, ระบบคมนาคม และที่ดินสำหรับการพัฒนา กลายเป็นโอกาสในการทำธุรกิจร่วมกัน

หลังกลุ่มบีทีเอส ชนะประมูลพัฒนาอู่ตะเภา ในอนาคตอาจได้เห็นโครงการของโนเบิลปักธงในทำเลดังกล่าว หลังจากนำร่องร่วมกันแล้ว 1 โครงการในทำเลรัชดาฯ-ลาดพร้าว และมีแผนจะพัฒนาร่วมกันต่อเนื่อง

ขณะที่การจับมือกับกลุ่มฮ่องกงแลนด์ จะมีการเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรี บนที่ดิน 3 ไร่ ถนนวิทยุ มูลค่าแตะ 1 หมื่นล้านบาท

 

ข้ามกำแพงตํ่ากว่า 5 ล้าน

ทั้งนี้ สำหรับปี 2563 เองถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัท เพราะเตรียมเปิดโครงการใหม่รวม 7 โครงการ มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท ผ่านการรุกตลาดคอนโดฯ ทุกกลุ่มลูกค้า หลังเดิมเป็นที่รับรู้ของตลาด ว่าโนเบิลมีแต่ของแพงระดับ 2-3 แสนบาทต่อตร.. หรือ 5 ล้านบาทขึ้นไป เปรียบสัดส่วนพอร์ตโปรดักต์มากกว่า 50% อยู่ในช่วงราคา 5-10 ล้านบาท และอีกส่วนมีราคามากกว่า 10 ล้านบาท แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการวิเคราะห์ความต้องการของตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ตอบรับดีกับโปรดักต์ของบริษัทเรื่อยมา พบความต้องการในกลุ่มตํ่ากว่า 5 ล้านบาทมีมากขึ้น แต่เรากลับไม่มีโปรดักต์เหล่านั้นรองรับ ประกอบกับทำเลรถไฟฟ้า 300 สถานีที่ขยายเพิ่มขึ้น กลายเป็นโอกาสในการเข้าไปบุกอย่างไม่ยากลำบาก ซึ่งมีการนำร่องกระจายพอร์ตสินค้าในกลุ่มดังกล่าว ผ่าน แบรนด์NUE” ระดับ 1-1.5 แสนบาทต่อตร.. มาตั้งแต่ปีที่แล้ว รวม 2 โครงการ โดยปีนี้เองจะเพิ่มสัดส่วนในเซ็กเมนต์ดังกล่าว เป็น 30% ของพอร์ตโปรดักต์ เพราะการมีโปรดักต์หลากหลาย ทั้งล่าง-กลาง-บน เปรียบเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันยอดขายในช่วงหลังจากนี้

ที่ผ่านมา เรามีบันไดที่ยังไปไม่ถึง แม้ตลาดตํ่ากว่า 5 ล้าน แข่งขันเดือด เป็นตลาดหลักของรายใหม่และรายเก่า แต่พบยังมีช่องที่สร้างจุดขายได้ ประกอบกับจุดแข็งที่เรามี ด้านโลเกชัน แบรนด์ ส่วนกลาง และราคา คงไม่ใช่เรื่องยาก

หน้า 25-26 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,542 วันที่ 23-25 มกราคม 2563