อสังหาฯลุ้นบ้านดีมีดาวน์ ดูดสต็อกเหลือขายมากกว่าครึ่ง

11 ธ.ค. 2562 | 10:07 น.

 

พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ กล่าวในวงเสวนา "จุดพลุอสังหาฯ พาไทยติดปีก"ในงานสัมมนาฐานเศรษฐกิจ Go Thailand : ปลุกกำลังซื้อ ฟื้นพลังเศรษฐกิจ จุดพลุอสังหาฯ พาไทยติดปีก ณ ห้องบอลรูม โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ร่วมกับภาคธนาคารว่า ย้อนไป ตลาดอสังหาริมทรัพย์ เป็นตลาดที่มีอัตราเติบโตมาดีต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา  โดยเฉพาะช่วงปี 2561  ที่ตลาดโตร้อนแรงสุด ก่อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นสัญญาณผิดปกติ สั่งคุมเข้มธนาคารและสถาบันการเงิน ออกสินเชื่อใหม่ เพื่อสกัดกลุ่มเก็งกำไรในตลาด จากปัญหา คอนโดฯเงินทอนที่เกิดขึ้น เกิดภาพมีลูกค้าจำนวนมากโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ และซ้ำเติมตลาดอีกครั้งเมื่อมีการออกมาตรการสำคัญ แอลทีวี ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้อัตราการซื้อ ขาย ในตลาด และอัตราดูดซับซัพพลายลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามช่วยเหลือ ด้วยการออกมาตรการต่างๆมากระตุ้นแก้ปัญหา ตั้งแต่เริ่มแรก คือ มาตรการ ลดค่าธรรมเนียมและจดจำนองลง แต่พบว่าตลาดยังไม่ตอบรับเท่าที่ควร เนื่องจากมาตรการมีระยะยาวนาน จนถึงช่วงสิ้นปี 2563 ทำให้ผู้ซื้อยังชะลอการตัดสินใจรอจังหวะ ขณะที่มาตรการ บ้านในฝัน พบส่งผลทำให้อัตราดูดซับของตลาดดีขึ้น แต่ไม่มากพอ  ขณะนี้รอเพียงผลของมาตรการใหญ่ บ้านดีมีดาวน์ ซึ่งกำหนดเงินคืนดาวน์ 5 หมื่นบ้านให้แก่ผู้มีสิทธิ์ 1 แสนราย ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลบวกในช่วงต้นปีหน้าเป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม คาดหวังให้การซื้อขายจากมาตรการดังกล่าว จำกัดวงอยู่ในกลุ่มที่มีสต็อกเหลือขายอยู่เป็นจำนวนมาก คือ กลุ่มคอนโดฯ ราคา 3 ล้านบาท +,- เพื่อให้ตลาดดูดซับสต็อกส่วนเกินออกไป และรอวันฟื้นตัว


" ถ้าบ้านดีมีดาวน์ ผ่านหมด 1 แสนราย เฉลี่ยหลังละ 3 ล้าน จะสามารถดูดซับตลาดได้มากกว่าครึ่ง แต่หากไม่ใช่ ไปกระจุกตัวกลุ่มบ้านราคาแพง อาจไม่มีผลต่อตลาดมากนัก  เพราะสต็อกเหลือขายในตลาดจริงๆ  คือ กลุ่ม 3 ล้านบาท คาดจะเห็นภาพชัดเจนในช่วงต้นปี 2563 "

 

ทั้งนี้ ยังกังวลถึงทิศทางตลาดในช่วงปีหน้า เพราะเกี่ยวเนื่องกับกำลังซื้อของคนในประเทศ หากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว จากชาติมหาอำนาจ จีน สหรัฐ ยังไม่สามารถเจรจากันได้ อาจทำให้เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร จึงแนะให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายใหญ่ ระมัดระวังในการเปิดโครงการใหม่ และภาระต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่กำลังจะมีการประกาศใช้ในช่วงปีหน้า เป็นต้น