วัสดุก่อสร้างรุกกลุ่ม CLMV ตราเพชร-สมาร์ทคอนกรีตเล็งตลาดเมียนมาดันส่งออก

23 ก.พ. 2559 | 10:00 น.
ธุรกิจวัสดุก่อสร้างปรับแผนรุกขยายตลาดกลุ่มประเทศ CLMV สร้างรายได้เสริม หลังเศรษฐกิจไทยหดตัว "ตราเพชร" เล็งปั้นเมียนมาร์เป็นตลาดหลักเหมือนกัมพูชา ตั้งเป้า 3 ปีเพิ่มสัดส่วนส่งออกเป็น 20% ด้าน "สมาร์ทคอนกรีต" ปักหลักชิมลางกัมพูชา เตรียมลุยต่อเมียนมาร์ และลาว

นายสาธิต สุดบรรทัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้แนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างอยู่ในสถานการณ์ทรงตัว ทั้งนี้ฤดูการขายคือไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ช่วงเศรษฐกิจดี ร้านค้าวัสดุมีลูกค้าสั่งซื้อคึกคักแต่ไตรมาส 1 ปีนี้ค่อนข้างเงียบ ถึงแม้ราคาจะลดลงเพราะบริษัทลดค่าขนส่งก็ตาม กอปรกับจีดีพีของประเทศไทยหดตัว ขณะที่ประเทศเพื่อนมีอัตราเติบโต ทำให้บริษัทปรับยุทธศาสตร์มุ่งขยายตลาดในต่างประเทศช่วง 3 ปีนี้คือ 2559-2561 ให้มีสัดส่วนยอดขายเพิ่มเป็น 20% ของยอดขายรวมในปี 2561 จากปัจจุบันอยู่ที่ 16% โดยเน้นส่งออกในกลุ่มประเทศ CLMV+1 ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง

การรุกขยายตลาดอาเซียนเป็นการต่อยอดฐานตลาดที่มีอยู่แล้ว สำหรับสินค้าที่ส่งออกมีผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ และแผ่นบอร์ด ยิปซัม โดยประเทศกัมพูชา มีสัดส่วนยอดขายจากตลาดส่งออกสูงสุด 50% รองลงมา ได้แก่ ลาว 20% เมียนมาร์ 10% ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และเอเชีย 20%

"ในกลุ่มประเทศ CLMV เรามองว่า เมียนมาร์เป็นประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูง จากการได้เข้าไปทำตลาดในเมียนมาร์นานกว่า 10 ปี ด้วยจุดเด่นด้านจำนวนประชากรกว่า 60 ล้านคนใกล้เคียงกับประเทศไทยและขนาดตลาดวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่กว่ากัมพูชาถึง 4 เท่า นอกจากนี้บริษัทมีความพร้อมด้านการผลิตที่จะป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดเมียนมาร์เพิ่มเติมเพื่อรองรับกับความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นและเชื่อว่า ในอนาคตอันใกล้ยอดขายจากเมียนมาร์จะแซงหน้าประเทศกัมพูชาได้"

ด้านนายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร กล่าวว่า ผลประกอบการปี 2558 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 354 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 432 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 13.7 ล้านบาท เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ อีกทั้งมีการแข่งขันด้านราคาค่อนข้างสูง ส่งผลให้ยอดขายและความสามารถในการทำกำไรลดลงตาม

อย่างไรก็ตามในปี 2559 บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อสร้างการเติบโต โดยเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ "อิฐมวลเบาประเภทตกแต่ง" เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า โดยคาดว่า จะเริ่มรับรู้รายได้จากสินค้าใหม่เข้ามาในไตรมาสที่ 2/59 และจะเร่งบุกตลาดโครงการภาครัฐ ซึ่งจะมีการลงทุนในโครงการต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วขนาดรางกว้าง 1.435 เมตร และโครงการขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ อีกหลายเส้นทาง
"หากโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจริง จะผลักดันให้เกิดแหล่งชุมชนและที่อยู่อาศัย ซึ่งจะส่งผลดีกับทางบริษัท และทำให้มีความต้องการใช้วัสดุอิฐมวลเบาในการก่อสร้างมากขึ้น ดังนั้นตั้งแต่ต้นปี 2559 คาดว่า จะสามารถปรับสัดส่วนรายได้เป็นงานภาครัฐ 50% และภาคเอกชน 50%

สำหรับการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าในกลุ่มประเทศ CLMV ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเจรจากับดีลเลอร์ในประเทศกัมพูชาแล้วเป็นที่เรียบร้อย ทำให้ปัจจุบันบริษัทได้มีการส่งสินค้าไปยังประเทศกัมพูชาและยังมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรายได้เริ่มทยอยเข้ามาได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 /2558 และอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดที่ประเทศพม่าและลาว เพื่อทำการกระจายสินค้าให้ครอบคลุม ขณะที่งบลงทุนในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 200 ล้านบาท เพื่อไว้ใช้สำหรับขยายกำลังการผลิตและออกผลิตภัณฑ์ผนังมวลเบานวัตกรรมใหม่"

นายรังสี กล่าวต่อไปว่า เป้าหมายรายได้ในปี 2559 คาดว่า จะมีรายได้เติบโตมากกว่าปี 2558 ประมาณ 10% หรือไม่ต่ำกว่า 390 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการขยายตลาดไปยังตลาด CLMV และนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมภาคอสังหาริมทรัพย์ และจากงบลงทุนของภาครัฐในปี 2559 ซึ่งจะกระตุ้นภาคเอกชนในการลงทุน รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผู้ผลิตจำหน่ายวัสดุก่อสร้างโดยรวม และบริษัทผู้รับเหมา ซึ่งทางบริษัทฯ ก็จะได้รับผลบวกโดยตรง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,133 วันที่ 21 - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559