ตลาดอสังหาฯไทย อีกหนึ่งทางเลือกนักลงทุน

19 ก.พ. 2559 | 02:00 น.
"แม้ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกจะชะงัก แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยยังดี เนื่องจากราคาที่ดิน เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังห่างไกล ต่ำกว่าจีน 20% และต่ำกว่าฮ่องกง, สิงคโปร์ถึง 60% แม้ราคาที่ดินจะปรับขึ้นต่อเนื่องทุกปี ล่าสุดปรับขึ้นอีก 10-30% (ขึ้นอยู่กับทำเล) แต่ก็ถือว่ายังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับศักยภาพ จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เหตุนี้ ฮาริสันจึงเตรียมบุกตลาดต่างประเทศโดยโฟกัสที่ลอนดอน,จีน และไทย เพื่อดึงนักลงทุน คาดหวังสร้างรายได้ 3 หมื่นล้านบาท"

นายหลิน กว่าง จุงอลัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) บริษัทนายหน้าอสังหาฯระดับอินเตอร์ที่มีบริการครบวงจรทั้งด้านการลงทุน, บริหารงานขายและการตลาด โดยเฉพาะที่พักอาศัยทั้งแนวราบ และแนวสูง ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ห้างสรรพสินค้า และนิคมอุตสาหกรรม, การเช่าซื้อ , การประมูลอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงตลาดต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมและทิศทางอสังหาฯไทยในปี 2559 ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง ดังนี้

แนวโน้มตลาดอสังหาฯในปี 2559

การคาดการณ์การเปิดตัวหน่วยขายใหม่ทั้งปี 2559 น่าจะใกล้เคียงปี 2558 แบ่งเป็นแนวราบประมาณ 4.7 หมื่นหน่วย และคอนโดฯประมาณ 6.5 หมื่นหน่วย ส่วนใหญ่จะเป็นแนวรถไฟฟ้าโดยเฉพาะสายที่เปิดเดินรถ คือ สายสีม่วง และทำเลที่เป็นย่านธุรกิจ เช่น สุขุมวิท สาทร สีลม การทำการตลาดจะมีการแข่งขันกันอย่างมาก และมีการนำแนวคิด และกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ เข้ามาใช้สื่อสารกับผู้บริโภค การใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ส่วนปัจจัยที่นักลงทุนจะตัดสินใจซื้อ และลงทุนคือ อสังหาริมทรัพย์ บริเวณรถไฟฟ้าเปิดเดินรถ และสายที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้าง และมีกำหนดเปิดแน่นอน คือ สายสีน้ำเงิน

"ในปี 2016 ในฐานะของ Sole Agent คาดว่าตลาดจะทรงตัว และมีการเติบโตในบางบริเวณที่อยู่แนวรถไฟฟ้าสายที่เปิดเดินรถ คือ สายสีม่วง และทำเลที่เป็นย่านธุรกิจ เช่น สุขุมวิท สาทร สีลม ซึ่งที่ดินใน 3 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นไม่ 30-40% ทำให้คอนโดฯในทำเลแนวรถไฟฟ้าจะแพงมากอย่างต่อเนื่อง เพราะที่ดินสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน อย่างเช่น ราคาคอนโดฯเส้น ราชดำริ,สุขุมวิท,หลังสวน ราคาเฉลี่ยประมาณ 2.5 แสนบาทต่อตร.ม. ทำให้ราคาสูงกว่าปีก่อน 10% หรือ ราคาคอนโดฯซอยอารีย์ฯ พระราม3 ริมแม่น้ำ ราคาเฉลี่ยประมาณ 1.5 -2.5 แสนบาทต่อตร.ม. สูงกว่าปีก่อน 8% กระทั่งคอนโดฯแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ (สีเขียว,สีน้ำเงิน และสีแดง ราคาสูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 12% เนื่องจากราคาที่ดินสูงขึ้น เพราะติดรถไฟฟ้า ดังนั้นกล่าวได้ว่าราคาที่ดินถือเป็นปัจจัยสำคัญของคอนโดฯ"

แผนธุรกิจของฮาริสัน ในสถานการณ์ตลาดอสังหาฯแข่งขันสูง

ในปีนี้บริษัทฮาริสันฯจะหันรุกตลาดในเมืองไทย และตลาดต่างประเทศ อาทิ อังกฤษ และ จีน โดยตลาดในไทยนั้นซึ่งเราจะเน้นการบริการให้กับนักลงทุนในต่างประเทศให้มาลงทุนกับไทย โดยเฉพาะ นักลงทุนของประเทศอังกฤษและจีน เพราะ 2 ประเทศนี้มีสภาพเศรษฐกิจที่มั่นคงและมีนักลงทุนที่สนใจจะมาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด ณ ปัจจุบัน และทางฮาริสัน ยังมีให้กับลูกค้าคนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ สรุปง่ายๆ ว่า ฮาริสัน เรามีธุรกิจเติบโตจากปีที่แล้วไม่ต่ำกว่า 30%

ทั้งนี้ จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวไปทั่วโลก โดยเฉพาะ ยุโรป อเมริกา จีน ถือเป็นโอกาสของตลาดทุนที่จะสามารถมาลงทุนที่ประเทศไทยในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจีน ชะลอตัวอย่างมาก การที่จะพัฒนาที่ดินของจีน จะหาแหล่งที่ดินใหม่ๆได้ยากขึ้น สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งก็ยากที่จะแข่งขันในช่องทางการตลาดของต่างประเทศ เมืองไทยก็มีลูกค้าจากต่างประเทศ ถือว่ามีศักยภาพมาก เนื่องจากราคาที่ดินของไทยยังถูกกว่า 20% เมื่อเทียบกับจีน และไทยยังถูกกว่า 60% เมื่อเทียบกับฮ่องกงและสิงคโปร์

การขยายตลาดต่างประเทศและความคาดหวัง

ส่วนการขยายตลาดไปในต่างประเทศนั้นเป็นนโยบายของบริษัทที่จะก้าวสู่ตลาดอินเตอร์เนชั่นแนล ทำให้ตลาดในประเทศไทยมี Demand มาก และมีการลงทุนกับลูกค้าในประเทศไทยและลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่มีวิธีหลากหลายมากขึ้น โดยที่บริษัทเราตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ถือได้ว่าเป็นประโยชน์สำหรับตลาดอสังหาฯในประเทศไทย

โครงการแรกที่ฮาริสันได้พาบริษัทอสังหาฯไทยไปเจาะตลาดต่างประเทศคือ บริษัท โพลาริส แคปปิตอล จำกัด(มหาชน) ไปลงทุนที่ใจกลางประเทศอังกฤษ ซึ่งโครงการมีมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท เป็นโครงการที่อยู่ใจกลางลอนดอนและยังมีอีกโครงการหนึ่งในอนาคต อยู่เมือง Kent โดยโครงการนี้มีที่ดินประมาณ 70 ไร่ จะทำเป็นหมู่บ้านเดี่ยวพักอาศัย โรงแรม และรีสอร์ต จำนวน 200 หลัง มูลค่าโครงการประมาณ 6,000 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,132 วันที่ 18 - 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559